ประสานผู้ช่วย กยท.เขต เพื่อให้รับรู้การขับเคลื่อนงานและนัดหมายจัดประชุมเพื่อร่วมวางแนวทางขับเคลื่อนและพัฒนาข้อเสนอ
การยางแห่งประเทศไทยมีการจัดสรรงบประมาณ 49 (3) ซึ่งในพื้นที่จังหวัดชุมพร มีการอนุมัติไป 8 โครงการมีการกำหนดการจัดส่งโครงการภายใน 30 ต.ค
สาขาเมือง สหกรณ์สวนยางบ้านแหลมปาย 500,000 บาท (เงืนอยู่ที่เขต)
สาขาเมือง สหกรณ์สวนยางบ้านในเหมือง 300,000 บาท
สาขาท่าแซะ สหกรณ์สวนยางบ้านหินแก้ว 80,000 บาท (เปลี่ยนโครงการ)
สาขาท่าแซะ สหกรณ์สวนยางพรุตะเคียน 270,000 บาท
สาขาปะทิว สหกรณ์สวนยางบ้านทรายแก้ว 250,000 บาท
สาขาปะทิว สหกรณ์สวนยางคลองวังช้าง 300,000 บาท
สาขาปะทิว สหกรณ์สวนยางดอนยาง 318,752 บาท (เงินอยู่ที่เขต)
สาขาปะทิว สหกรณ์สวนยางสมบูรณ์พัฒนา 249,000 บาท
การจัดสรรเป้าหมายการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกทดแทน ปีงบประมาณ 2565 ตามอัตราส่วนการอนุมัติของปี 2564 จังหวัดชุมพรดังนี้ 1) ยาง= 1,600 2) ไม้ยืนต้น = 2,600 3) ผสมผสาน = 3,250 4) พืชคลุม = 920 5) พืชแซม = 2,150 ดังนั้นการยื่นขอรับการส่งเสริมสนับสนุนการปลูกแทนในปี 65 จะยึดถือตามอัตราอ้างอิงนี้ ส่วนการจัดสรรปุ๋ยให้แก่เกษตรกรสวนยางในปี 64 การยางมีแนวคิดที่จะสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง/ผู้ประกอบการการค้าปุ๋ยเคมีเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกรวมทั้งเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรผู้รับการปลูกทดแทนด้วยยางพันธุ์ดี ปุ๋ยยางมีคุณภาพ เหมาะสมด้านราคา และเป็นธรรมกับเกษตรกร
การขับเคลื่อนสังเคราะห์รูปแบบและข้อเสนอสวนยางยังยืน(พืชร่วมร่วมยาง) ชุมพร-ระนอง
การดำเนินงานศึกษารูปแบบการทำสวนยางยั่งยืนของชุมพร-ระนอง ในการทำการส่งเสริมการผลิตตามแบบ 3 เกษตรผสมผสานของคณะทำงานจังหวัดชุมพรและระนอง (กยท.-ผู้แทนคณะกรรมการสถาบันเกษตรกรฯ-สมาคมประชาสังคมชุมพร-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) ภายใต้แผนงานความมั่นคงทางอาหาร ของสถาบันพัฒนานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์
1) รูปแบบการจัดการสวนยางยั่งยืน(พืชร่วมยาง) สามารถจำแนกได้ใน 2 ลักษณะ คือ ขนาดและการใช้ประโยชน์จากที่ดิน และรูปแบบการผลิตตามแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน 5 รูปแบบ(เกษตรทฤษฎีใหม่-โคกหนองนาโมเดล,เกษตรผสมผสาน,เกษตรอินทรีย์,วนเกษตร,เกษตรธรรมชาติ) รูปแบบและปัจจัยเงื่อนในการทำการเกษตร
1.1 รูปแบบจากขนาดและการใช้ประโยชน์จากที่ดิน
รูปแบบ การดำเนินผลิตในแปลง ปัจจัยเงื่อนไข
1.ขนาดพื้นที่ ไม่เกิน 10 ไร่ (ค่าเฉลี่ยการถือครองที่ดินเกษตรชาวสวนยาง 11.5 ไร่ต่อราย) -มีการดำเนินการผลิตในแบบเกษตรผสมผสานทั้งปลูกพืชหลากหลายชนิด มีกิจกรรมการผลิตในแปลงเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงสัตว์น้ำ การแปรรูป และการจัดการตลาดครบวงจร -พื้นทีแปลงมีแหล่งน้ำในแปลง
-เกษตรกรมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำการผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและมีแรงงานในครัวเรือนอย่างน้อย 2 ราย
2.ขนาดพื้นที่ ไม่เกิน 11-50 ไร่ มีการดำเนินการผลิตในแบบเกษตรผสมผสานโดยจัดโซนนิ่งการเพาะปลูกพืชชนิดต่างๆ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และมีกิจกรรมการผลิตหลากหลายกิจกรรมทั้งพืชและสัตว์ -พื้นทีแปลงมีแหล่งน้ำในแปลง
-เกษตรกรมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำการผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง -เกษตรกรมีทุนหรือสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการผลิตที่เพียงพอ
-มีแรงงานในการทำเกษตรอย่างน้อย 4 ราย
3.ขนาดพื้นที่ มากกว่า 50 ไร่ขึ้นไป มีการดำเนินการผลิตในแบบเกษตรผสมผสานโดยจัดโซนพื้นที่เพื่อทำการผลิตหรือเพาะปลูกพืช-เลี้ยงสัตว์ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และแรงงานในแปลง เกษตร มีหลากหลายกิจกรรมทั้งพืชและสัตว์ -พื้นทีแปลงมีแหล่งน้ำในแปลง
-เกษตรกรมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำการผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง -เกษตรกรมีทุนหรือสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการผลิตที่เพียงพอ
-มีแรงงานในการทำเกษตรมากกว่า 4 ราย
1.2 รูปแบบการผลิตตามแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน 5 รูปแบบ รูปแบบ การดำเนินผลิตในแปลง ปัจจัยเงื่อนไข 1.เกษตรทฤษฎีใหม่-โคกหนองนาโมเดล เกษตรทฤษฎีใหม่ (New theory agriculture) เน้นหนักการจัดการทรัพยากรน้ำในไร่นาให้เพียงพอเพื่อผลิตพืชอาหาร โดยเฉพาะข้าวเอาไว้บริโภคในครัวเรือน รวมทั้งมีการผลิตอื่น ๆ เพื่อบริโภคและจำหน่าย ส่วนที่เหลือแก่ตลาด เพื่อสร้างรายได้อย่างพอเพียง -พื้นทีแปลงมีแหล่งน้ำในแปลง -เกษตรกรมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำการผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและมีแรงงานในครัวเรือนอย่างน้อย 2 ราย -มีเป้าหมายในการทำการผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือนเป็นขั้นต้น แล้วค่อยแปรรูปหรือจำหน่ายเพิ่มรายได้ 2.เกษตรผสมผสาน เกษตรผสมผสาน (Integrated farming) เน้นกิจกรรมการผลิตมากกว่าสองกิจกรรมขึ้นไปในเวลาเดียวกัน และกิจกรรมเหล่านี้เกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้นจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่ดินที่มีจำกัด ในไร่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุด -พื้นทีแปลงมีแหล่งน้ำในแปลง -เกษตรกรมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำการผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง -เกษตรกรมีทุนหรือสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการผลิตที่เพียงพอ -มีแรงงานในการทำเกษตรอย่างน้อย 2 ราย 3.เกษตรอินทรีย์ เกษตรอินทรีย์ (Organic farming) เน้นหนักการผลิตที่ไม่ใช้สารอนินทรีย์เคมี หรือเคมีสังเคราะห์ แต่สามารถใช้อินทรีย์เคมีได้ เช่น สารสกัดจากสะเดา ตะไคร้หอมหรือสารสกัดชีวภาพเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์แก่ทรัพยากรดิน -พื้นทีแปลงมีแหล่งน้ำในแปลง -เกษตรกรมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำการผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง -เกษตรกรมีทุนหรือสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการผลิตที่เพียงพอ -มีแรงงานในการทำเกษตรมากกว่า 4 ราย -กรณีมุ่งเน้นการตลาดจำเป็นต้องมีกระบวนการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร 4.วนเกษตร วนเกษตรหรือไร่นาป่าผสม (Agroforesty) เน้นหนักการมีต้นไม้ใหญ่และพืชเศรษฐกิจหลายระดับที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ เพื่อการใช้ประโยชน์ป่าไม้ของพืชหรือสัตว์ชนิดต่างๆ ที่เกื้อกูลกัน ทั้งยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ของทรัพยากรป่าไม้ที่มีจำกัดได้อีกทางหนึ่ง -เกษตรกรมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำการผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง -เกษตรกรมีทุนหรือสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการผลิตที่เพียงพอ -มีแรงงานในการทำเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่และกิจกรรมการผลิต 5.เกษตรธรรมชาติ เกษตรธรรมชาติ (Natural farming) เน้นหนักการทำเกษตรที่ไม่รบกวนธรรมชาติ หรือรบกวนให้น้อยที่สุดที่จะทำได้ โดยการไม่ไถพรวน ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี และไม่กำจัดวัชพืช แต่สามารถมีการคลุมดินและใช้ ปุ๋ยพืชสดได้ -เกษตรกรมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำการผลิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง -เกษตรกรมีทุนหรือสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการผลิตที่เพียงพอ -มีแรงงานในการทำเกษตรที่เหมาะสมกับพื้นที่และกิจกรรมการผลิต
2) ปัจจัยเงื่อนความสำเร็จโดยภาพรวมจากบทเรียนของเกษตรต้นแบบสวนยางยั่งยืน
2.1 เกษตรกรมีภูมิความรู้ ต้นทุนและสินทรัพย์เพื่อการผลิตที่เพียงพอและเหมาะต่อการทำการผลิตในแต่ละรูปแบบการผลิตต่าง ๆ และมีการออกแบบวางแผนการผลิตที่ดีตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
2.2 ความสามารถของเกษตรกรในการเข้าถึงความรู้ใหม่ ๆ เครือข่ายการเรียนรู้และการผลิต เทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ และเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อนำมาใช้ในการผลิต (เกษตรกรที่เป็นแปลงต้นแบบ ส่วนใหญ่เป็นผู้นำหรือแกนนำเกษตรกร)
2.3 สภาพแปลงเกษตร ที่มีแหล่งน้ำ หรือมีระบบการจัดการน้ำที่ดีเหมาะสมมีประสิทธิภาพจึงจะเอื้อให้ทำการเกษตรผมผสานได้สำเร็จ
2.4 มีแรงงานในครัวเรือนหรือสามารถจัดการแรงงานได้เหมาะสมกับรูปแบบการผลิตแต่ละประเภท
2.5 การเพิ่มมูลค่าในผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ในแปลงเกษตร ให้เกิดรายได้ รวมถึงความสามารถในการจัดการตลาดทั้งรูปแบบ หน้าฟาร์มหรือเป็นแหล่งเรียนรู้ดูงาน ตลาดออนไลน์ ตลาดท้องถิ่น
3) ข้อเสนอต่อการส่งเสริมและพัฒนาสวนยางยั่งยืน(พืชร่วมยาง)
3.1 ขอให้การยางแห่งประเทศไทยขยายรูปแบบการให้ทุนสงเคราะห์ปลูกแทน ควรขยายไปถึงการให้ทุนปลูกแทนในสวนยางอายุเกิน 25 ปี โดยไม่ต้องโค่นปลูกใหม่ แต่ใช้รูปแบบที่เหมาะสมเช่น รูปแบบผสมผสาน:กยท. 3 (เกษตรกรรมยั่งยืน) และเพิ่มปริมาณเป้าหมายการส่งเสริมสนับสนุนเกษตรผสมผสานในแต่ละปี (สัดส่วนเป้าหมายพื้นที่ 10-20-30-40-50 % ของเกษตรกรชาวสวนยาง) เพื่อนำไปสู่การทำสวนยางยั่งยืนของเกษตรชาวสวน
3.2.ขอให้การยางแห่งประเทศไทยมีการขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ จากบัตรสีชมพูเป็นบัตรเขียว สามารถทำได้และมีสิทธิในการรับสวัสดิการและผลประโยชน์เช่นเดียวกับเกษตรกรชาวสวนยางทั่วไป
3.3ขอให้การยางแห่งประเทศไทยดำเนินการ หรือประสานความร่วมมือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายต่างๆ มีการส่งเสริมสนับสนุนการทำสวนยางยั่งยืน ดังนี้
-การจัดกระบวนการเรียนรู้สวนยางยั่งยืนที่ต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้หรือศูนย์เรียนรู้สวนยางยั่งยืน
- จัดทำฐานข้อมูลสารสนเทศสวนยางยั่งยืน ที่เกษตรกรเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มและแอพพิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน
- มีมาตรการหรือเพิ่มแรงจูงใจการทำสวนยางยั่งยืน ที่ชัดเจน เช่นงบประมาณสมทบสำหรับผู้ข้อทุนประเภทสวนยางยั่งยืนเพิ่มขึ้นไร่ละ 10,000 บาท
การสนับสนุนปัจจัยการผลิตและเทคโนยีการผลิตให้กับเกษตรกรชาวสวนยางรูปแบบนำร่องหรือเป็นแหล่งเรียนรู้ เช่นระบบน้ำด้วยโซล่าเซล การผลิตสารชีวภัณฑ์
-มีกลไกการขับเคลื่อนสวนยางยั่งยืนที่ชัดเจน เช่นคณะกรรมการหรืออนุกรรมการขับเคลื่อน/ส่งเสริมสนับสนุนสวนยางยั่งยืน
4). ขอให้การยางแห่งประเทศไทยร่วมกับภาคีวิชาการ มีการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรการผลิตที่สำคัญเช่น พันธุ์ยางพื้นบ้านที่ต้านทานโรคอุบัติใหม่ นำมาใช้เป็นต้นตอที่เพียงพอ การคัดเลือก รับรองและพัฒนาพันธุ์ยางต้านทานโรคให้ผลผลิตสูงร่วมกับเกษตรกร มีการพัฒนาระบบธนาคารน้ำใต้ดิน รวมทั้งการลดต้นทุนการผลิต และทรัพยากรการผลิตอื่นๆ
แนวทางการดำเนินงานสวนยางยั่งยืนร่วมกันในจังหวัดชุมพร (ร่าง)การจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนสวนยางยั่งยืนจังหวัดชุมพร (คณะกรรมการหรืออนุกรรมการส่งเสริมสนับสนุนสวนยางยั่งยืน) - เกษตรและสหกรณ์จังหวัดชุมพร - ผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จังหวัด:ชุมพร - .ตัวแทนจากกรมทรัพยากร - สภาเกษตรกรในพื้นที่
- ผู้แทนกรรมการสถาบันเกษตรกร.ทั้ง 3 สาขา - นักวิชาการหรือภาคประชาสังคมในพื้นที่ ตัวแทนสมาคมประชาสังคมชุมพรการยกระดับและพัฒนาแปลงต้นแบบ เป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรชาวสวนยาง
- เสริมกิจกรรมการสร้างรายได้ที่ชัดเจนเป็นระบบ - ฝึกอบรมกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต - สนับสนุนอุปกรณ์การเรียนรู้ เช่น ผังแปลง กระบวนการเรียนรู้ - อาคารหรือพื้นที่ถ่ายทอดความรู้
()
ประสานภาคีที่เกี่ยวข้องและส่งหนังสือเชิญประชุมโดยจะทำการพูดคุยเพื่อสังเคราะห์ข้อมูลการถอดบทเรียน
มีชุดถอดบทเรียนระดับพื้นที่ จำนวน 10 ต้นแบบซึ่งใช้กระบวนการถอดบทเรียนจาก สนส. เพื่อให้กรอกการถอดบทเรียนครอบคลุมทุกมิติ โดยมีการกระจายในแต่ละอำเภอ คือ ท่าแซะ สวนลุงนก ปะทิวสวนนายวิศุทธ์ สวี สวนมลินี หลังสวน สวนพิทยาและจารี ละแม สวนนายวิเวก นายพฤติ นายประสาร นายสมคิด นายอดิศักดิ์ ดังนั้นจึงต้องดูเนื้องานการถอดบทเรียนของแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะข้อมูลรายแปลง ข้อมูลเศรษฐศาสตร์ของพื้นที่ ตามนี้
1. บริบทพื้นที่และแรงบันดาลใจในการเกษตรสวนยางยั่งยืน (พืชร่วมยาง)
2. ความคาดหวังต่อการทำเกษตรสวนยางยั่งยืน (พืชร่วมยาง)
3. การเกษตรผสมผสานโดยจัดรูปแบบปลูกพืชสลับแถว
4 ผลผลิตและ รายได้/รายจ่ายครัวเรือนเป็นอย่างไร (รายได้ครัวเรือนเพิ่มเท่าไหร่/รายจ่ายค่าอาหารลดลงหรือไม่
5. การเป็นสมาชิกกลุ่มสถาบันเกษตรกร เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร ฯลฯ และบทบาทหน้าที่ในกลุ่ม การได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่ม
6.การบรรลุเป้าหมายจากทำสวนยางยั่งยืน (พืชร่วมยาง)หรือไม่อย่างไร
7. ปัจจัยที่ทำให้ท่านทำพืชร่วมยางประสบความสำเร็จมีอะไรบ้าง (ทุน การสนับสนุนจากภายนอก -องค์ความรู้)
8. ปัญหา อุปสรรคจากการทำสวนยางยั่งยืน (พืชร่วมยาง) อย่างไร
9. การทำสวนยางยั่งยืน (พืชร่วมยาง)ในอนาคตอย่างไร และความเป็นไปได้ในการนำไปใช้กับพืชเชิงเดี่ยวอื่น เช่น สวนปาล์มน้ำมัน ทุเรียน ลองกอง ฯลฯ
10. ข้อเสนอแนะอะไรบ้างต่อหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น กยท. /สนง.เกษตร/ เกษตรและสหกรณ์ ฯลฯ ในการทำนโยบายสวนยางยั่งยืน (พืชร่วมยาง)
จากการดูตัวอย่างจะมีบางพื้นที่ยังมีการเขียนไม่ครอบคุมจึงอาจต้องนำไปดูและเพิ่มข้อมูลในแต่ละด้านที่สอดคล้องกับพื้นที่ เช่น หากมีผลผลิตจากผักพื้นบ้านมีกี่ชนิด แต่ละชนิดเก้บกี่ครั้ง ขายได้เท่าไหร่ /วัน/ปี
()
-
พืชร่วมยาง-สมคิด-ละแม.docx
-
สารชีวภัณฑ์-อดิศักดิ์.docx
-
สวนยางร่วมมะพร้าว-มาลินี.docx
-
สวนยางพิทยา เพชรเจริญ บ้านควน หลังสวน 64.docx
-
วนเกษตร-ฉลองชาติ.docx
-
ระบบนิเวศสวนยาง-วิศุทธิ์.docx
-
พืชสลับแถว วิเวก - ละแม 64.docx
-
พืชร่วมยาง-ประสาน-ละแม.docx
-
พืชร่วมยาง-ประพฤทธิ์-ละแม.docx
-
พืชร่วมยาง-จรีย์-หลังสวน.docx
ทีมวิชาการประสานกับ กยท.เพื่อประเมินการทำสวนยางยั่งยืน(ผสมผสาน)เพื่อลงพื้นที่ถอดบทเรียนการทำสวนยาง
เกิดชุดข้อมูลในการถอดบทเรียนพื้นที่ต้นแบบจำนวน 10 พื้นที่ ซึ่งมีการปลูกพืชร่วมยาง เช่น ปลูกแบบนวเกษตร ปลูกแบบผสมผสาน ทีมีความแตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ เช่น ปลูกยางร่วมกับมะพร้าว ปลูกร่วมกับผักกินใบรวมถึงการเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ โดยมีการกระจายอยู่เกือบทุกอำเภอในจังหวัดชุมพร
()
ประสานงานการเข้าร่วมประชุมกับภาคีที่เกี่ยวข้องเพื่อออกแบบการขับเคลื่อนงานพืชร่วมยางในระดับพื้นที่
การขับเคลื่อนงานพืชร่วมยางในจังหวัดชุมพรได้มีการคัดเลือกเกษตรกรต้นแบบซึ่งในการคัดเลือกโดยทาง กยท.ชุมพร หลังจากได้ลงพื้นที่และร่วมพูดคุยกับประธานกรรมการสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจึงได้เสนอรายชื่อเพิ่มเติมจำนวน 4 คนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนโซล่าร์เซลล์เพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบในการขับเคลื่อนและเป็นกรณีศึกษาในระดับพื้นที่ เช่น การปลูกยางร่วมกับมะพร้าว ปลูกยางร่วมกับผักเหลียง เป็นต้น
()
-แลกเปลี่ยนเรียนรู้ -พัฒนาศักยภาพเกษตรกรชาวสวนยางต้นแบบ
การเพิ่มจุลินทรีย์ในน้ำยางเป็นความรู้ที่มีมายาวนานแต่คนภาคใต้ยังไม่ได้ศึกษาความรู้เรื่องนี้แบบจริงจังจึงทำให้น้ำยางของใต้เรามีคุณภาพไม่ดีและมีการไหลของน้ำยางที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นการจัดประชุมในครั้งนี้จึงจะเป็นอีก 1 ช่องทางที่จะเป็นการเพิ่มมูลค่าของเกษตรกรชาวสวนยางซึ่งในครั้งนี้จึงได้เชิญวิทยากรที่มีความชำนาญมาให้ความรู้พร้อมปฎิบัติ การเพิ่มจุลินทรีย์ในน้ำยางซึ่งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นที่หลากหลาย เช่น การทำอีเอ็มเซรามิค ถ่านอีเอ็ม เป็นต้น หลุดจากกับดักเกษตรแบบดั่งเดิมเข้าสู่การเกษตรอนาคตในอุดมคติ อีเอ็มเทคโนโลยีที่ได้พัฒนาขึ้นในระดับสุงสุด ก้าวข้ามการเกาตรเคมีที่สร้างมลพิษทำลายสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอันจะนำไปสู่ความล่มสลายของสรรพชีวิตและโลกเพื่อให้หลุดพ้นจากกับดักการเกษตรเคมีแบบปัจจุบันจะต้องใช้กระบวนการผลิตที่จะเพิ่มพลังในการฟื้นฟูของจุลินทรีย์ในดินเพื่อสร้างแนวป้องกันการฟื้นฟูดิน น้ำ อากาศและธรรมชาติที่แข็งแรงโดยจะมีกระบวนการทำงาน 1.เตรียมน้ำหมักสูตรเนเจอร์แคร์โดยเพิ่มน้ำ 5 เท่าจากสูตรเดิมหรือขยายอีเอ็มด้วยน้ำทะเลที่หมักไว้เกิน 1 เดือน 2. ผลิตถ่านอีเอ็มโดยใช้ใบไม้ กิ่งไม้ ฟาง หญ้าที่เป็นชนิดและขนาดเดียวกันตากให้แห้งและเผาจนการไหม้สมบูรณ์และทำการดับไฟด้วยน้ำหมักเนเจอร์แคร์ 3.ผลิตโบกาฉิถ่าน-เกลือ โดยนำเกลือหรือกากน้ำปลาจะใช้เกลือ0.5-1 ส่วน ถ่าน 1 ส่วนผสมให้เข้ากันผลิตภัณฑ์ที่ได้นอกจากสามารถกำจัดวัชพืชได้อย่างดีเยี่ยมแล้วจะทำให้เกิดปุ๋ยในตัวระดับสูงที่ปุ๋ยเคมีไม่อาจบรรลุผลได้อีกด้วย 4.ผลิตถ่านอินทรีย์เอนกประสงค์ เตรียมปุ๋ยหมัก เศษอาหาร โบกาฉิหรือปุ๋ยหมักทั่วไปในจำนวนที่เท่ากับโบกาถ่าน เกลือ นำมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันดีบรรจุในกระสอบที่เคลือบพลาสติกหมักแบบไร้อากาศหรือจะหมักในถังพลาสติกที่มีฝาล็อกก็ได้ใช้เวลาหมัก 15 ขึ้นไปถ้าเกินเดือนจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะจุลินทรีย์จะทำการย่อยสลายปุ๋ยจนสามารถใช้ได้ดียิ่งขึ้น ถ่านอินทรีย์เอนกประสงค์ การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ -ใช้เกลือที่ผ่านการผลิตด้วยเทคนิคอีเอ็มแต่ถ้าไม่มีให้ใช้อีเอ็มที่ขยายจากน้ำทะเลหรือผสมกับเกลือทั่วไปและหมักไว้ในภาชนะทิ้งไว้ประมาณอาทิตย์หนึ่งก็สามารถนำมาใช้ได้ การผลิตถ่านอีเอ็ม -ใช้ใบไม้ ฟาง กิ่งไม้ที่ตัดแตงออก ขี้เลื่อยขยะจากการเกษตร ไม้ทั่วไปนำมาตากให้แห้งหลังจากนั้นจึงนำมาเผาในเตาแบบไร้ควัน ที่มีเส้นผ่านศุนย์กลาง 100 ซ.ม ด้านล่างแล้วทำมุมเอียงขึ้นไปด้านบน 60 องศา ที่มีความสูงหรือความลึกประมาณ 45-50 ซ.ม -การเผาควรใช้วัสดุเผาที่เป็นชนิดและขนาดใกล้เคียงกัน วางเผาในแนวนอนเมื่อสังเกตว่าไหม้เป็นถ่านแล้วให้ดับไฟด้วยอีเอ็มที่ขยายด้วยน้ำทะเล -เติมเกลือลงไปในถ่าน ในอัตราส่วน 0.5 : 1 หรือ 1:1 ทำการผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันนำไปใส่ถึงปุ๋ยหรือภาชนะและควรนำไปใช้เลยเนื่องจากเกลือมีแนวโน้มที่จะดูดซับความชื้นสูง ควรเก็บไว้ในถุงหรือภาชนะที่ป้องกันการดูดซับความชื้น ในกรณีที่ต้องเก็บไว้เป็นเวลานาน
()
ประชุมทีมตัวแทน กยท.เพื่อออกแบบกิจกรรมและประสานวิทยากรเปิดรับสมัครผุ้อยากเรียนรู้เพิ่มเติม
การยางแห่งประเทศไทยมีการสนับสนุนให้เกษตรกรทำสวนยางยั่งยืนจากการขอสงเคราะห์ตามมาตรา 49(2) ในรูปแบบ 3 คือการปลูกแบบผสมผสานซึ่งเป็นแรงจูงใจให้ต่อจากการสงเคราะห์ไร่ละ 16,000 บาทตามระเบียบ ทาง กยท.แห่งประเทศไทยได้เล็งเห็นว่าการปลูกแบบผสมผสานซึ่งต้องมีส่วนประกอบของน้ำ ดังนั้นจึงได้มีการสนับสนุนโซล่าเซลล์ให้กับแปลงต้นแบบจำนวน 18 รายในเขตเมืองชุมพร แต่ทาง กยท.แห่งประเทศไทยไม่ได้มีการให้ความรู้ในการดูแลรักษาระบบโซล่าร์เซลล์ทำให้ผู้ที่ได้รับขาดความรู้ในการดูแลรักษาซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับชาวเกษตรกรสวนยาง จึงได้นำเรื่องนี้มาพูดคุยและได้รับการสนับสนุนจากสมาคมประชาสังคมชุมพรซึ่งได้รับงบประมาณการขับเคลื่อนสวนยางยั่งยืนจากสำนักนโยบายสาธารณะ(มอ.หาดใหญ่)ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้
การบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าด้วยระบบโซล่าเซลล์
โซล่าเซลล์ คือ ระบบโฟตอนที่ใช้การผลักพลังงานซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติในการสร้างกระแสไฟซึ่งจากการทำงานต้องมีการแปลงกระแสไฟซึ่งในบ้านที่เราใช้อยู่เป็นกระแสสลับเพราะจะทำให้การส่งไฟได้เร็ว ซึ่งการทำให้เกิดพลังงานจะต้องมีกระแสความดัน ตามทฤษฎี 1 แรงม้าเท่ากับ 750 วัตต์ การดูแลรักษาแผลโซล่าเซลล์จะต้องทำความสะอาดด้วยน้ำเพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของการใช้พลังงานมีประสิทธิภาพ การติดตั้งแผงควรติดตั้งตามเส้นศูนย์สูตรของโลกเพื่อให้เกิดการรับแสงที่ดีจากดวงอาทิตย์ ลักษณะคลื่นจะมี 3 ชนิด คลื่นบริสุทธิ์ คลื่นตกแต่ง คลื่นสี่เหลี่ยม
ระบบโซล่าเซลล์มี 4 ระบบ คือ
1.ระบบ ON-Grid คือ ระบบที่ใช้ร่วมกับสายส่งของการไฟฟ้าและเป็นระบบผสมไฟฟ้า
2.ระบบ Hybrid system คือ ระบบที่ใช้แบบผสมทั้งไฟฟ้าและพลังงานโซล่าเซลล์
3.ระบบHybrid On – Off Grid คือ ระบบผสมที่ใช้กับไฟฟ้าหรือไม่ใช้ก็ได้
4.ระบบ Off-Grid คือ ไม่ใช้ไฟจากการไฟฟ้าแต่ใช้ไฟจากโซล่าเซลล์
สรุปภาพการขับเคลื่อน
1.การสร้างทีมช่างเพื่อให้เกิดการดูแลรักษาระบบโซล่าร์เซลล์ในจังหวัดชุมพรโดยมีสมาคมประชาสังคมชุมพรเป็นทีมประสาน 2. การติดตั้งโซล่าร์เซลล์ผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและองค์การบริหารส่วนจังหวัด 3. กลุ่มยื่นขอทุนจาก กยท.ในแบบที่ 3 4. รวบรวมรายชื่อเข้าเสนอในเวที สว.พบประชาชน ณ.สมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืน 5. ทุนสินเชื่อหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำ ธกส. 6. การจัดการน้ำ/สิ่งแวดล้อมเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน
()
ประสานกลุ่มเป้าหมาย ออกแบบกิจกรรม -แลกเปลี่ยนเรียนรู้เส้นทางพัฒนาการ -นำชมแลกเปลี่ยนรูปแบบการจัดทำสวนยางแบบวนเกษตร
1) เรียนรู้พัฒนาการทำเกษตร : นายฉลองชาติ ยังปักษี. เลขที่ 120 ม.15 ต.ท่าข้าม อ.ท่าแซะ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร มีพื้นที่จำนวน 45 ไร่ ทำการเกษตรผสมผสานและวนเกษตร ปลูกยางพารา/พืชแซมด้วยไม้ป่า ปาล์มน้ำมันและเลี้ยงสัตว์ มาตั้งแต่ พศ.2535 หลังจากได้โอกาสไปศึกษาเรียนรู้และฝึกอบรมจากหลายๆ แหล่งเรียนรู้ หลาย ๆ ครั้ง จนตกผลึกโดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การทำกสิกรรมธรรมชาติ หลักการ “ปลูกป่า 3 อย่าง ได้ประโยชน์ 4 อย่าง” คือ การปลูกไม้ผล ไม้สร้างบ้าน ไม้ใช้สอย อันได้ประโยชน์คือ ได้กินเป็นอาหาร เป็นที่อยู่อาศัย เป็นฟืน/พลังงาน และรักษาความอุดมสมบูรณ์ดินน้ำ-ป่า
ในปี 52 ได้เปิดศูนย์พัฒนาศึกษาเกษตรธรรมชาติ จัดกระบวนการเรียนรู้/ถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตร การทำสวนยางแบบวนเกษตรหรือเกษตรธรรมชาติ การแปรรูปผลผลิตเกษตร พลังงานทดแทน ทำเกษตรปศุสัตว์ทั้งเลี้ยงวัว/หมู การเลี้ยงปลา ฯลฯ
2) นำชมแปลง โดยนายฉลองชาติ (หลวงนก) ยังปักษี เป็นผู้บอกเล่าแก่ผู้แทนเกษตรกรที่เข้าร่วมเรียนรู้จัดการแปลงสวนยางพาราในแต่ละโซนพื้นที่
โซนที่ 1 บ้านพัก/โรงอบแสงอาทิตย์/พืชผักสวนครัว
โซนที่ 2 ปลูกไม้ผล/ไม้และอ่างเก็บน้ำ
โซนที่ 3 ปลูกปาล์มและแซมด้วยพันธุ์ไม้พื้นถิ่นใต้หลากหลายชนิด
โซนที่ 4 ศูนย์เรียนรู้เกษตรธรรมชาติ มีอาคารที่ประชุม,ห้องน้ำ,บ่อเลี้ยงกบ,โรงผลิตปุ๋ย เป็นต้น
โซนที่ 5 สวนยางพาราและไม้ใช้สอย(ยาง,สะเดา,มะฮอกกานี,จำปา,ฯ) เลี้ยงผึ้ง,
แปลงที่ 2 พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกยางพาราและพันธ์ไม้ป่า,ไม้ใช้สอย,ไม้ผล,พืชชั้นล่าง กระวาน,เสม็ด,ผักเหลียง,ผักกูด,พืชหัวใต้ดิน ฯ
3) สรุปศาสตร์พระราชา การปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง "การปลูกป่า 3 อย่าง แต่ให้ประโยชน์ 4 อย่าง ซึ่งได้ไม้ผล ไม้สร้างบ้าน และไม้ฟืนนั้น สามารถให้ประโยชน์ได้ถึง 4 อย่าง คือ นอกจากประโยชน์ในตัวเองตามชื่อแล้ว ยังสามารถให้ประโยชน์อันที่ 4 ซึ่งเป็นข้อสำคัญ คือ สามารถช่วยอนุรักษ์ดินและต้นน้ำลำธารด้วย " พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2523 ณ โรงแรมรินคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พอกิน คือ การปลูกต้นไม้ที่กินได้ รวมทั้งใช้เป็นยาสมุนไพร ไม้ในกลุ่มนี้ เช่น แค มะรุม ทุเรียน สะตอ ผักหวาน ฝาง แห้ม กล้วย ฟักข้าว ไม้ผลต่าง ๆ พอใช้ คือ การปลูกต้นไม้ให้เป็นป่าไม้ สำหรับทำเครื่องใช้สอยในครัวเรือน อาทิ ทำฟืน เผาถ่าน ทำงานหัตถกรรม หรือทำน้ำยาซักล้าง ไม้ในกลุ่มนี้ เช่น มะคำดีควาย หวาย ไผ่ หมีเหม็น พออยู่ คือ การปลูกต้นไม้ที่ใช้เนื้อไม้และไม้เชิงเศรษฐกิจให้เป็นป่า ไม้กลุ่มนี้เป็นไม้อายุยืนเพื่อใช้สร้างบ้าน ทำเครื่องเรือน ต้นไม้กลุ่มนี้ เช่น ตะเคียนทอง ยางนา สัก พะยูง พยอม พอร่มเย็น คือ ประโยชน์อย่างที่ 4 ที่เกิดจากการปลูกป่า 3 อย่าง จะช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศดินและน้ำให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ ร่มรื่น และฉ่ำเย็นขึ้นมา
การปลูกป่า 5 ระดับแบบกสิกรรมธรรมชาติ ประกอบด้วยต้นไม้หลากหลายชนิดพันธุ์ โดยเราสามารถจัดแบ่งตามระดับช่วงความสูงและระบบนิเวศได้ 5 ระดับ ดังนี้ 1)ไม้สูง เป็นกลุ่มไม้เรือนยอดสูงสุดและอายุยืน ไม้ในระดับนี้ เช่น ตะเคียน ยางนา เต็ง รัง 2)ไม้กลาง เป็นกลุ่มต้นไม้ที่ไม่สูงนัก ไม้ในระดับนี้ ได้แก่ บรรดาไม้ผลที่เก็บกินได้ เช่น มะม่วง ขนุน มังคุด กระท้อน ไผ่ สะตอ 3)ไม้เตี้ย เป็นกลุ่มต้นไม้พันธุ์พุ่มเตี้ย ไม้ในระดับนี้ เช่น พริก มะเขือ กะเพรา ติ้ว ผักหวานบ้าน เหลียง 4)ไม้เลื้อยเรี่ยดิน ไม้ในระดับนี้เป็นตระกูลไม้ล้มลุกที่ทอดยอดเลื้อยได้ เช่น พริกไทย รางจืด ฟักทอง แตงกวา 5)ไม้หัวใต้ดิน ไม้หัวอยู่ใต้ดิน ไม้ในระดับนี้ คือ มัน เผือก กลอย กวาวเครือ ขิง ข่า
4.รายชื่อเกษตรกรสวนยางต้นแบบ/ตัวอย่าง
1)นายฉลองชาติ ยังปักษี ม.15 ต.ท่าข้าม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร. พื้นที่ 45 ไร่ (สวนยางแบบวนเกษตรหรือเกษตรธรรมชาติ)
2) นางจรี รัตนะ 212 ม.10 ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร เนื้อที่ 9 ไร่ สวนยางแบบผสมผสาน ยั่งยืน (ปลูกยางพารา ,เลี้ยงผึ้งโพรง เลี้ยงไก่พื้นเมือง ปลูกผักเหลียงในสวนยาง ไม้ใช้สอย เช่น กฐินเทพา สะเดาเทียม จำปาทอง จิก )
3)นายอดิศักดิ์ ยมสุขขี 1 ม.1 ต.สวนแตง อ.ละแม จ.ชุมพร เนื้อที่ปลูกยางพารา 13 ไร่ (แซมด้วยผักเหลียงและผลไม้กินผล)
4) นายแดง ทองแก้ว อายุ 84 ปี บ้านเลขที่ 31 ม.4 ต.ทุ่งคาวัด อ.ละแม จ. ชุมพร พื้นที่ 29 ไร่ แบ่งปลูกยางพารา 20 ไร่ อีก 9ไร่ ทำสวนยางพาราเป็นแบบผสมผสาน ผักเหลียง,เลี้ยงสัตว์
5) นายประสาน ลูกจันทร์ บ้านเลขที่ 30 ม.4 ต.ทุ่งคาวัด อ.ละแม จ.ชุมพร พื้นที่ 10 ไร่ ปลูกผักเหลียงในสวนยางนำไปสู่การเกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น
แปลงตัวอย่าง
6) นาย ยังปักษี ม.14 ต.ท่าข้าม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร.
7)นายวิเวก อมตเวทย์ 130 หมู่ 10 ต.ละแม อ.ละแม จ.ชุมพร
8)นายประนายประพฤทธิ์ ฑิตสุวรรณ 26 หมู่ 2 ต.ทุ่งคาวัด อ.ละแม จ.ชุมพร
9)นายสมคิด ดาวเปียก 33 หมู่ 2 ต.ทุ่งหลวง อ.ละแม จ.ชุมพร
10) น.ส.มาลิณี วงศ์สุวัฒน์ 48/4 หมู่ 11 ต.ทุ่งระยะ อ.สวี จ.ชุมพร
()
เชิญตัวแทนกลไกคณะทำงานทั้ง 3 กิจกรรมใช้คณะกรรมการอำนวยการ/คณะทำงาน Node flagship สสส.ชุมพร โดยต้องเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ได้แก่ กยท.ชุมพร,กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ฯ,สนง.ปศุสัตว์จังหวัด,สนง.ประมงจังหวัดและตัวแทนคณะกรรมการเกษตรกรการยาง
เกิดทีมขับเคลื่อนพืชร่วมยางและมีแผนการขับเคลื่อน ดังนี้
- ประชุมปรึกษาหารือคณะทำงานจังหวัด
- คัดเลือกเกษตรกรนำร่อง 10 ราย/จัดประชุมเชิงปฏิบัติการสวนยางยั่งยืน และการเพิ่มเติมทักษะการดูแลบำรุงรักษาระบบสูบน้ำด้วยโซลาเซล
- ติดตาม สนับสนุน ถอดบทเรียน
- เวทีแลกเปลี่ยนสรุปบทเรียน/จัดทำข้อเสนอ
- ร่วมเวทีสังเคราะห์บทเรียนและข้อเสนอระดับภาคใต้ (เวทีร่วมระดับภาค)
()
- สร้างความเข้าใจการดำเนินงานระบบอาหาร คือ ความมั่นคงทางอาหาร อาหารปลอดภัย โภชนาการสมวัย
- ประเมินสถานการณ์ ออกแบบการดำเนินงานระบบอาหารที่เกี่ยวข้องกับ 3 กิจกรรมหลัก คือ ยุทธศาสตร์อาหารจังหวัด / พืชร่วมยาง /ตำบลบูรณาการอาหาร
- กำหนดกรอบการขับเคลื่อนผนสุขภาพและระบบเกษตรและอาหารชุมพร
- เกิดกรอบการขับเคลื่อนงานตามแผนงาน
- กลไกคณะทำงานทั้ง 3 กิจกรรมใช้คณะกรรมการอำนวยการ/คณะทำงาน Node flagship สสส.ชุมพร โดยต้องเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ได้แก่ กยท.ชุมพร,กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ฯ,สนง.ปศุสัตว์จังหวัด,สนง.ประมงจังหวัด (รายชื่อคณะกรรมการอำนวย)
- ผู้รับผิดชอบตามภารกิจงานพืชร่วมยาง ได้แก่ นส.หนึ่งฤทัย พันกุ่ม , ตำบลบูรณาการระบบอาหาร ได้แก่ นายธีรนันท์ ปราบราย และคณะทำงานติดตามพัฒนากองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น , แผนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์/เกษตรปลอดภัยเพื่อสุขภาพ ได้แก่ ดร.ฐิระ ทองเหลือ และคณะทำงานและภาพรวมเชื่อมโยงทั้งหมดคณะทำงาน Node flagship สสส.ชุมพร
()