*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()

*
*
()

*
*
()
*
*
()
*
*
()

*
*
()

*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()

*
*
()

*
*
()

*
*
()

*
*
()
*
*
()
ประกอบด้วย

*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()
ประกอบด้วย
*
*
()
*
*
()
*
*
()
*
*
()
ประกอบด้วย
22
22
22
บรรลุผลตามเป้าหมาย (3)
ประกอบด้วย
222
*
*
()
-
-
()
*
*
()
-
-
()
เพื่อประเมินพื้นฐานการทำการเกษตรกรรมยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดพัทลุง
1.การสำรวจเกษตรกรที่มีความรู้พื้นฐานด้านการเกษตรผ่านศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านควนกุฏ
1.เกษตรกรมีความรู้พื้นฐานด้านการเกษตรเป็นอย่างดีมีการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบผ่านศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านควนกุฏ เป็นรูปแบบเกษตรผสมผสาน ที่ได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์ มีการปลูกข้าวสังหยด ข้าวพื้นเมือง มีการปลูกพืชหลากหลายทำให้มีรายได้ทั้งปี เช่น มะพร้าวน้ำหอม มะนาว ส้มโอ มังคุด ลองกอง สะตอ ชาวบ้านในพื้นที่ 80% มีกระบวนการปลูกพืชผักรอบบ้าน มีมากเกินความต้องการทำให้มีผลิตภัณฑ์ส่งออกไปยังตลาด และนอกพื้นที่ได้
2.เกษตรกรในพื้นที่มีการช่วยเหลือแลกเปลี่ยนทั้งความรู้ พันธุ์พืช วัสดุ และผลผลิต กลุ่มชาวบ้านมีการแลกเปลี่ยนความรู้ มีการรวมตัวที่เหนียวแน่น มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายต้นพันธ์ผักที่เพาะตามความถนัด
3.มีการแข่งขันด้านผลงานส่งผลให้เกิดการพัฒนากระบวนการผลิต
4.ทุกครัวเรือนมีแปลงผักริมรั้ว หรือหลังบ้านที่มีการผลิตประสิทธิภาพสูง การผลิตเป็นกระบวนการผลิตแบบปลอดสารพิษ และเกษตรอินทรีย์ โดยผลิตตามความต้องการของชุมชน และตลาด ส่งผลให้สามารถขายได้ราคา
5.บางครัวเรือนมีการเพาะพันธุ์ไม้ประดับ
6.เกษตรกรในชุมชนควนกุฏมีการพัฒนา และหาความรู้เพิ่มเติม เป็นแนวทางที่ดีในการปรับตัวสู่การทำเกษตรกรรมยั่งยืน
7.มีการเพาะปลูกตามความต้องการของตลาด หรือมีการหาตลาดเพื่อกระจายผลผลิต
8.ชุมชนบ้านควนกุฏ เน้นการผลิตเพื่อบริโภค และส่งตลาด เป็นผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษ
เพาะพันธุ์ ส้มซ่า มะนาวยักษ์ มะนาวแป้นเพชร เลมอน มะเขือ พริก มะขามยักษ์
มีการเผาถ่านในบางครัวเรือน ทำบ่อ ร่องคูในสวน เลี้ยงปลา ปลานิล ปลาทับทิม ปลาม้า ปลาตะเพียน ปลาดุก ปลาสลิด ได้รับการสนับสนุนพันธุ์จากประมงจังหวัดโดยได้รับ 2 ปี
9.ชุมชนบ้านขามเป็นแนวคิดป่าร่วมยาง และมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า
ผลผลิตที่ได้มาจากสวนยางพารา รูปแบบการปลูกพืชร่วมที่หลากหลาย และมีความสามารถในการทำการตลาดของผู้นำกลุ่ม มีการสั่งของมาอย่างต่อเนื่อง และสั่งตามปฏิทินฤดูกาล ทำให้มีการผลิตที่หลากหลายโดยเฉพาะพืชผักทานใบ ดอก ที่เป็นพืชประจำถิ่น มีการนำความรู้นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช่ในการปรับปรุงพันธุ์ดาหลาให้มีความหลากหลาย กลายเป็นไม้ประดับที่มีมูลค่าสูง สามารถขายหน่อได้เป็นจำนวนมากให้แก่ผู้ที่นิยมปลูกดาหลาเป็นไม้ประดับ
10.ผู้นำมีความเข้มแข็ง มหาวอทยาลัยเข้ามาช่วยทำแปลงทดลองพันธุกรรม มีความรู้ด้านการปรับปรุงพันธุ์ทำให้สามารถขายผลผลิตได้ในราคาสูง ราคาตามความสวยงาน ประมาณ 300 - 500 บาท ต่อตุ่ม(หน่อ)
11.การรวมกลุ่มแปรรูปเครื่องแกง
มีการใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เหมาะสม ทำให้เครื่องแกงมีคุณภาพมีคำสั่งซื้อเข้ามาจนต้องเพิ่มการผลิต ผลิตเดือนละประมาณ 600 กิโลกรัม ส่งขายทั่วประเทศ โดยใช้ผลผลิตตะไคร้ ขมิ้น พริก ที่ปลูก ริมสวน หรือริมรั้ว ที่ไม่ได้มาตราฐานไม่สามารถขายได้ หรือขายไม่ได้ราคา การแปรรูปจึงเป็นการเพิ่มมูลค่า
12.สวนยางพารา มีความหลากหลายมีผลผลิตอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งรายได้จากน้ำยางเพียงอย่างเดียว กระบวนการการทำการเกษตรที่ทำอยู่ในรูปแบบเกษตรประณีต เนื่องจากขายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ราคาสูง พืชที่ปลูกในสวนยางพาราที่สามารถ ขายผล ใบ ยอดได้ ได้แก่ ลูกชิง ทำมัง ชะมวง พุดช้าง ว่านสาวหลง พิลังกาสา ผักพื้นถิ่นอื่นๆ
()
-
-
()

1.กรอบการประเมิน 2.สร้างแนวทางการดำเนินงานพัฒนาการทำเกษตรกรรมยั่งยืน เริ่มจากทำข้อมูลพื้นฐานของท้องถิ่นเป็นแนวทางในการพัฒนาการเกษตรและด้านอื่นๆ 3.ประชุมกลุ่มทำ swot เพื่อรู้จักตนเอง
"ละหา" เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส มีประชากรประมาณ 1800 คนชาวบ้านส่วนใหญ่เคยประกอบอาชีพปลูกข้าว โดยในอดีตที่นาอยู่ในสภาพทุ่งนาร้าง ในปี 2549 ได้มีการฟื้นฟูทำนาอีกครั้งด้วยเหตุผลหลายประการหลังจากที่มีแนวคิดต้องการที่จะฟื้นนาร้างอีกครั้งในบรรดาเยาวชนทั้งหมดมีแกนนำเยาวชนหนึ่งคนที่จบการศึกษาระดับปัญญาตรีจากมหาลัยราชภัฎยะลาชื่อนายมูฮัมหมัด บิง ซึ่งเป็นนักศึกษาที่เรียนจบจากสายเกษตร มีความมุ่งมั่นและได้พยายามเริ่มต้นจากการรวมกลุ่มเพื่อนๆ เยาวชนให้ลุกขึ้นมาปลูกข้าวอีกครั้งเมื่อมีสมาชิกที่มีความฝันเหมือนกันเป็นกลุ่มเยาวชนในรุ่นเดียวกันแต่ยังขาดประสบการณ์การทำนาจึงหาทางออกด้วยการเข้าไปขอคำปรึกษาและเรียนรู้ขั้นตอนการทำนาจากนักปราชญ์ชื่อนายดุลเลาะสะอะและได้พูดคุยถึงสภาพปัญหาต่างๆทำให้กลุ่มเยาวชนรู้สึกมั่นใจอีกครั้งและได้ไปเชิญชวนชาวบ้านและผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์การทำนาในหมู่บ้านโดยพื้นฐานเยาวชนของหมู่บ้านละหาสามารถรวมกลุ่มกันไม่ยากเนื่องจากเยาวชน ส่วนใหญ่มีจิตอาสาเรื่องช่วยเหลือเต็มที่มากเกิดการรวมกลุ่มและได้นัดประชุมอย่างไม่เป็นทางการบ่อยครั้งที่ประเด็นสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับการฟื้นฟูนาร้างพูดถึงราคาข้าวสารที่สูงขึ้นและราคายางที่ตกต่ำเพื่อให้เยาวชนในกลุ่ม มีความตระหนักและมีความต้องการปลูกข้าวจนตกผลึกทางความคิดและนำไปสู่การจับมือโรงปฎิบัติการทำนาร่วมกันกลุ่มเยาวชนชาวหน้าบ้านละหาได้ยืนหยัดและเสนอแนวทางร่วมกันด้วยกับการพัฒนาท้องถิ่นริเริ่มกลับมาปลูกข้าวเพื่อฟื้นฟูนาที่เคยร้างมา 20 กว่าปีกันอีกครั้งแต่ด้วยกับการเป็นเยาวชนที่ยังไม่มีรายได้เป็นหลักเป็นแหล่งจึงต้องอาศัยหน่วยงานในท้องถิ่นเพื่อเป็นแหล่งสนับสนุนกลุ่มหลังจากได้รับคำแนะนำจากสมาชิกองค์กรการบริหารส่วนตำบลแว้ง กลุ่มเยาวชนได้คัดเลือกชาวบ้านที่ประสงค์ทำนาเพื่อรวบรวมรายชื่อพร้อมกับชุมชนที่แต่งตั้งประธาน รองประธาน เลขา และเหรัญญิก เริ่มทำงานครั้งแรกในปี พ.ศ.2549 ในปี 2551 มีโครงการของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดใช้แดนภาคใต้โดยมีเกษตรอำเภอเป็นผู้ทำโครงการได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 330,000 บาท มีการประชุมสมาชิกโดยจะนำเงินไปซื้อที่ดิน และเครื่องสีข้าว ปัจจุบันโรงสีข้าวของกลุ่มเยาวชนบ้านละหาได้ดำเนินงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วสถานที่ตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านผู้ใหญ่บ้าน และเป็นโรงสีข้าวที่ให้บริการชาวนาจากพื้นที่อื่นด้วยสามารถมาใช้สิทธิ์เข้าได้และมีค่าใช้จ่ายเงินส่วนนี้จะเป็นเงินกองกลาง มีการเริ่มโครงการพัฒนาโรงเรียนชาวนาและการยกระดับเป็นนาอินทรีย์ เนื่องจากเหตุผลหลายประการอาทิเช่นสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักชาวบ้านจะต้องมีเวลาเพื่อทำอาชีพหลายอย่างเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเช่นกรีดยางสร้างบ้านและทำสวน ประกอบ กับเหตุผลขาดน้ำ การก่อรูปโรงเรียนชาวนาบ้านละหานกลายเป็นศูนย์รวมตัวของกลุ่มชาวนาบ้านละหาในกิจกรรมต่างๆเช่นเป็นพื้นที่พูดคุยเกี่ยวกับสภาพปัญหาของกลุ่มชาวนา โรงเรียนชาวนาถือเป็นศูนย์กลางประสานงานระหว่างภาครัฐ เพื่อให้หน่วยงานสามารถสนับสนุนทั้งงบประมาณและความรู้เกี่ยวกับเกษตรทฤษฎีใหม่ อยู่แบบพอเพียงทำให้มีการขยายพื้นที่จาก 8 ครัวเรือนมาเป็น 32 ครัวเรือน
()
*
*
()
ประกอบด้วย
คณะทำงาน
*
*
()
*
*
()
ประกอบด้วย
คณะทำงาน
*
*
()
ประกอบด้วย
คณะทำงาน
*
*
()
ประกอบด้วย
คณะทำงาน