ข้อมูลพื้นฐาน
ในปี พ.ศ.2556 สามีของครูไพรรินทร์ พุฒเขียว ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ตับอ่อน ไส้อ่อน ลำไส้ กระเพาะ ถุงน้ำดีและแต่ได้ทำการผ่าตัดและทำคีโมมาแล้ว จึงได้มีผู้แนะนำให้
ครูไพรรินทร์ พุฒเขียวนำน้ำฟักข้าวมาให้ลองชิมโดยสั่งจากแม่ฮ่องสอน เมื่อทานได้สักระยะสามีของครูไพรรินทร์ พุฒเขียว มีอาการดีขึ้นและไปตรวจพบว่าเชื้อมะเร็งได้ลดลง ร่างกายมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ผลเลือดดีขึ้น
น้ำฟักข้าวที่สั่งมาจากแม่ฮ่องสอนมีรสชาติเปรี้ยวไม่หวาน ทุกครั้งที่สามีของครูไพรินทร์ทานจะต้องเติมน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มความหวานน้ำฟักข้าว และต้องสั่งมาคราวละมากๆ ครั้งละ 10-20 โหล โหลละ 450 บาท ครูไพรินทร์ พุฒเขียว จึงได้คิดที่จะทำน้ำฟักข้าวขึ้นมาเองเพื่อที่จะปรับ
รสชาติใหม่และเล็งเห็นว่าแถวบ้านมีวัตถุดิบเยอะเพียงพอที่จะทำขึ้นมาได้เองสูตรน้ำฟักข้าวนำมาจากฉลากข้างขวดที่บอกส่วนผสมของการทำน้ำฟักข้าวที่สั่งมาจากแม่ฮ่องสอน
ในปี พ.ศ.2558 ครั้งแรกที่ลองทำมีรสชาติเปรี้ยวไม่หวานจึงนำน้ำผึ้งมาผสมเพื่อให้รสชาติที่อร่อยแต่มีอายุการเก็บรักษาได้ไม่นานเนื่องจากภาชนะที่ใช้คือขวดพลาสติก
ในปี พ.ศ.2559 ครูไพรินทร์ พุฒเขียว ต้องการให้น้ำฟักข้าวมีอุณหภูมิการรักษานานขึ้นจึงได้เปลี่ยนภาชนะเป็นขวดแก้วและได้นำเครื่องพลาสเจอร์ไรส์เข้ามาในการผลิตเพื่อที่จะทำให้น้ำ
ฟักข้าวมีความสะอาดปราศจากแบคทีเรียเพราะเครื่องนี้มีคุณสมบัติที่สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรีย
ปัจจุบัน ครูไพรินทร์ พุฒเขียว ได้มีการนำผลฟักข้าวมาแปรรูปทำเป็นน้ำฟักข้าว เพราะน้ำฟักข้าวนั้นกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายของกลุ่มบุคคลที่รักสุขภาพ เนื่องจากฟักข้าวมีสรรพคุณมากมาย เช่น ต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น เนื้อฟักข้าวที่เหลือถูกทิ้งไปโดยไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ข้อมูลศักยภาพ/ทรัพยากร
ครูไพรินทร์ พุฒเขียว ได้คิดที่จะทำน้ำฟักข้าวขึ้นมาเองเพื่อที่จะปรับรสชาติใหม่และเล็งเห็นว่าแถวบ้านมีวัตถุดิบเยอะเพียงพอที่จะทำขึ้นมาได้เองสูตรน้ำฟักข้าวนำมาจากฉลากข้างขวดที่บอกส่วนผสมของการทำน้ำฟักข้าวที่สั่งมาจากแม่ฮ่องสอนข้อมูลประเด็นปัญหา
น้ำฟักข้าวที่สั่งมาจากแม่ฮ่องสอนมีรสชาติเปรี้ยวไม่หวาน ทุกครั้งที่จะทานจะต้องเติมน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มความหวานน้ำฟักข้าว และต้องสั่งมาคราวละมากๆ ครั้งละ 10-20 โหล โหลละ 450 บาทข้อมูลความต้องการเชิงพื้นที่
การนำเนื้อฟักข้าวที่ผู้ประการไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ โดยการนำมาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ชาและคุกกี้ที่เน้นใช้ส่วนผสมที่มาจากเนื้อฟักข้าว เพื่อต่อยอดสร้างรายได้เพิ่มอีกทางฟักข้าวหรือน้ำฟักข้าวเป็นที่รู้จักกันในนามพืชสมุนไพรบำรุงร่างกายที่นับวันคนในสังคมให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านเภสัชศาตร์การวิจัยค้นคว้าสารป้องกันและรักษาโรคมะเร็งและมีนักธุรกิจอาหารเสริมหลายกลุ่มที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษอันเนื่องมาจากสรรพคุณที่โดดเด่นและมีความเข้มข้น ของสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เมื่อเทียบกับพืชสมุนไพรอื่น ๆ ฟักข้าว เป็นไม้เลื้อยตามต้นไม้หรือตามรั้วบ้าน เช่น ขี้กาเครือ (ปัตตานี) ผักข้าว (ตาก ภาคเหนือ) มะข้าว (แพร่) แก็ก (Gac เวียดนาม) ฟักข้าว เป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์มาก ซึ่งมีถิ่นกำเนิด ตั้งแต่ประเทศจีนตอนใต้ พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย บังกลาเทศ และ ฟิลิปปินส์ โดยสายพันธ์ของฟักข้าวเป็นไม้ประเภทล้มลุก โดยเป็นเถาเลื้อย มีมือเกาะ แบบเดียวกับตำลึง ใบเป็นใบเดี่ยว รูปหัวใจ หรือรูปไข่ รูปร่างคล้ายใบโพธิ์ ความกว้างยาวเท่ากันประมาณ 6-15 เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก 3-5 แฉก มี 2 ลักษณะคือ พันธุ์ผลรี กับพันธุ์ผลกลม (พบมากในภาคใต้) ฟักข้าวจะมีหนามเล็ก ๆ อยู่รอบผล ผลอ่อนมีสีเขียว จะเจริญได้ต้องมีการผสมระหว่างดอกตัวผู้กับดอกตัวเมีย ต้นฟักข้าวมีการแยกเพศ เมื่อผลสุกจะมีสีแดง หรือแดงอมส้ม ภายในมีเมล็ดจำนวนมากเรียงตัว ในประเทศไทยคนสมัยก่อนนำผลฟักข้าวอ่อนสีเขียวเป็นอาหาร เนื่องจากรสชาติเนื้อฟักข้าว เหมือนมะละกอ วิธีการนำมารับประทานโดยการนำมาลวกหรือต้มให้สุก จิ้มกินกับน้ำพริก หรือใส่แกง ส่วนยอดอ่อน ใบอ่อนนำมาเป็นผักได้ โดยการนึ่งหรือลวกให้สุก เช่นเดียวกับผลอ่อนนำไปปรุงเป็นแกง เช่น แกงแค หรือจิ้มน้ำพริกได้เช่นเดียวกัน
ในปี พ.ศ.2556 สามีของครูไพรรินทร์ พุฒเขียว ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ตับอ่อน ไส้อ่อน ลำไส้ กระเพาะ ถุงน้ำดีและแต่ได้ทำการผ่าตัดและทำคีโมมาแล้ว จึงได้มีผู้แนะนำให้
ครูไพรรินทร์ พุฒเขียวนำน้ำฟักข้าวมาให้ลองชิมโดยสั่งจากแม่ฮ่องสอน เมื่อทานได้สักระยะสามีของครูไพรรินทร์ พุฒเขียว มีอาการดีขึ้นและไปตรวจพบว่าเชื้อมะเร็งได้ลดลง ร่างกายมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ผลเลือดดีขึ้น
น้ำฟักข้าวที่สั่งมาจากแม่ฮ่องสอนมีรสชาติเปรี้ยวไม่หวาน ทุกครั้งที่สามีของครูไพรินทร์ทานจะต้องเติมน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มความหวานน้ำฟักข้าว และต้องสั่งมาคราวละมากๆ ครั้งละ 10-20 โหล โหลละ 450 บาท ครูไพรินทร์ พุฒเขียว จึงได้คิดที่จะทำน้ำฟักข้าวขึ้นมาเองเพื่อที่จะปรับ
รสชาติใหม่และเล็งเห็นว่าแถวบ้านมีวัตถุดิบเยอะเพียงพอที่จะทำขึ้นมาได้เองสูตรน้ำฟักข้าวนำมาจากฉลากข้างขวดที่บอกส่วนผสมของการทำน้ำฟักข้าวที่สั่งมาจากแม่ฮ่องสอน
ในปี พ.ศ.2558 ครั้งแรกที่ลองทำมีรสชาติเปรี้ยวไม่หวานจึงนำน้ำผึ้งมาผสมเพื่อให้รสชาติที่อร่อยแต่มีอายุการเก็บรักษาได้ไม่นานเนื่องจากภาชนะที่ใช้คือขวดพลาสติก
ในปี พ.ศ.2559 ครูไพรินทร์ พุฒเขียว ต้องการให้น้ำฟักข้าวมีอุณหภูมิการรักษานานขึ้นจึงได้เปลี่ยนภาชนะเป็นขวดแก้วและได้นำเครื่องพลาสเจอร์ไรส์เข้ามาในการผลิตเพื่อที่จะทำให้น้ำ
ฟักข้าวมีความสะอาดปราศจากแบคทีเรียเพราะเครื่องนี้มีคุณสมบัติที่สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรีย
ปัจจุบัน ครูไพรินทร์ พุฒเขียว ได้มีการนำผลฟักข้าวมาแปรรูปทำเป็นน้ำฟักข้าว เพราะน้ำฟักข้าวนั้นกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายของกลุ่มบุคคลที่รักสุขภาพ เนื่องจากฟักข้าวมีสรรพคุณมากมาย เช่น ต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น เนื้อฟักข้าวที่เหลือถูกทิ้งไปโดยไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ดังนั้นทางคณะผู้ศึกษาโครงการจึงได้มองเห็นโอกาสในการนำเนื้อฟักข้าวที่ผู้ประการไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ โดยการนำมาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ชาและคุกกี้ที่เน้นใช้ส่วนผสมที่มาจากเนื้อฟักข้าว เพื่อต่อยอดสร้างรายได้เพิ่มอีกทาง
นำเข้าสู่ระบบโดย
udonthani_ru เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562 16:03 น.