สถาบันนโยบายสาธารณะ (สนส. ม.อ.)

directions_run

โครงการถอดบทเรียนการนำแนวทางการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมไปปฏิบัติในพื้นที่ 5 จังหวัดชาดแดนใต้

แบบรายงานการดำเนินงานฉบับสมบูรณ์

รายงานฉบับสมบูรณ์

สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (สนส. ม.อ.)


“ โครงการถอดบทเรียนการนำแนวทางการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมไปปฏิบัติในพื้นที่ 5 จังหวัดชาดแดนใต้ ”

จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดสตูล

หัวหน้าโครงการ
ผศ.ดร.ปรียา แก้วพิมล

ชื่อโครงการ โครงการถอดบทเรียนการนำแนวทางการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมไปปฏิบัติในพื้นที่ 5 จังหวัดชาดแดนใต้

ที่อยู่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดสตูล จังหวัด

รหัสโครงการ - เลขที่ข้อตกลง 61-ข-043

ระยะเวลาดำเนินงาน ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2561 ถึง 31 มกราคม 2562


กิตติกรรมประกาศ

"โครงการถอดบทเรียนการนำแนวทางการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมไปปฏิบัติในพื้นที่ 5 จังหวัดชาดแดนใต้ จังหวัด" สำเร็จได้ด้วยดี ด้วยความร่วมมือจาก สมาชิกในชุมชน จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดสตูล

คณะทำงานโครงการฯ ขอขอบคุณ สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (สนส. ม.อ.) ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ รวมทั้ง ภาคีเครือข่ายที่สำคัญระดับพื้นที่ ที่ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ชี้แนะ สุดท้ายขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องที่มิได้ระบุชื่อไว้ในที่นี้ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้มีความยั่งยืนในพื้นที่ต่อไป

คณะทำงานโครงการ
โครงการถอดบทเรียนการนำแนวทางการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมไปปฏิบัติในพื้นที่ 5 จังหวัดชาดแดนใต้



บทคัดย่อ

โครงการ " โครงการถอดบทเรียนการนำแนวทางการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมไปปฏิบัติในพื้นที่ 5 จังหวัดชาดแดนใต้ " ดำเนินการในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดสตูล รหัสโครงการ - ระยะเวลาการดำเนินงาน 1 มิถุนายน 2561 - 31 มกราคม 2562 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 150,000.00 บาท จาก สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (สนส. ม.อ.) เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมโครงการ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นสมาชิกในชุมชนจำนวน 100 คน หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปรากฏดังนี้

โครงการนี้ยังไม่มีการเขียนหรือแก้ไขบทคัดย่อ

หมายเหตุ : รายละเอียดของบทสรุปคัดย่อการดำเนินงาน ให้ผู้รับผิดชอบโครงการเป็นผู้เขียนสรุปภาพรวมของโครงการใน "ผลลัพธ์โครงการ"


สารบัญ

กิตติกรรมประกาศ»
บทคัดย่อ»
   ความเป็นมา/หลักการเหตุผล»
   วัตถุประสงค์โครงการ»
   กิจกรรม/การดำเนินงาน»
   กลุ่มเป้าหมาย»
   ผลลัพธ์ที่ได้»
   การประเมินผล»
   ปัญหาและอุปสรรค»
   ข้อเสนอแนะ»
   เอกสารประกอบอื่นๆ»

ความเป็นมา/หลักการเหตุผล

 

สถานการณ์

วัตถุประสงค์โครงการ

  1. ถอดบทเรียนรู้การใช้รูปแบบการแพทย์พหุวัฒนธรรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะ

กิจกรรม/การดำเนินงาน

    กลุ่มเป้าหมาย

    กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้

    ผลที่คาดว่าจะได้รับ

     


    ส่วนที่ 1 ผลการดำเนินงาน

    วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
    ผลลัพธ์และตัวชี้วัดผลลัพธ์**
    กิจกรรมของโครงการ
    ผลผลิต*
    ผลผลิตที่ตั้งไว้ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง

    1. ประชุมคณะทำงาน

    วันที่ 18 มิถุนายน 2561 เวลา 17:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    ประชุมคณะทำงาน ทบทวนความรู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบบริการสุขภาพในสังคมพหุวัฒนะรรม

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    1.ปรับแผนการทำงาน การดำเนินกิจกรรมในโครงการ 2.ออกแบบเครื่องมือในการเก็บข้อมูล 3.เอกสารการทบทวนวรรณกรรม

     

    5 5

    2. ประชุมคณะทำงาน

    วันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เวลา 13:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    1.ชี้แจงโครงการ 2.ประชุมแผนงานโครงการ 3.นำเสนอข้อมูล, สกัดเนื้อหาจากการทบทวนวรรณกรรมการบริการพหุวัฒนธรรมเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาเครื่องมือประเมินบริการการแพทย์พหุวัฒนธรรม 4.จัดทำร่างเครื่องมือประเมินการแพทย์พหุวัฒนธรรม

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    1.ร่างเครื่องมือประเมินการแพทย์พหุวัฒนธรรมที่จะนำไปใช้นำร่องในพื้นที่เป้าหมาย

     

    5 0

    3. ลงพื้นที่โรงพยาบาลเทพา ครั้งที่1

    วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    เก็บข้อมูลการจัดรูปแบบระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาลเทพา โดยใช้แบบสอบถาม และสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    เกิดข้อมูลการจัดบริการสุขภาพของโรงพยาบาลเทพา

     

    30 10

    4. พัฒนาเครื่องมือ

    วันที่ 20 กรกฎาคม 2561 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    พัฒนาเครื่องมือในการเก็บข้อมูล

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    เกิดเครื่องมือ จำนวน 6ชุด เพื่อใช้การการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล

     

    100 5

    5. ลงพื้นที่โรงพยาบาลยะหริ่ง

    วันที่ 21 สิงหาคม 2561 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    1.เก็บข้อมูลการจัดรูปแบบระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาลเทพาโดยใช้แบบสอบถาม
    2.สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง 3.สังเกตการจัดกิจกรรม

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    พื้นที่อำเภอยะหริ่งมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ความเป็นพหุวัฒนธรรมของพื้นที่ยะหริ่งมีลักษณะของความแตกต่างในศาสนา (อิสลาม-พุทธ) ความแตกต่างในศาสนาเดียวกันที่มีแนวคิดการตีความแตกต่างกัน เป็นพื้นที่ที่มีความเห็นต่างในเชิงสังคมการเมืองการปกครอง (เป็นพื้นที่ที่มีสถานการณ์ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องการลอบยิง วางระเบิด จนปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2562) อาณาเขตที่เป็นพื้นที่ชายทะเลเป็นแนวยาวและอาณาบริเวณที่กว้างทำให้เกิดความแตกต่างของสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม ชีวิตผู้คน (ชุมชนชายประมง ชุมชนชาวบ้าน ชุมชนเขตอำเภอตามวิถีคนเมือง) ช่องว่างทางการศึกษา รายได้ ประชากรส่วนหนึ่งในพื้นที่มักนิยมเดินทางไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน และเนื่องจากเป็นพื้นที่ติดทะเลมักพบชาวต่างชาติมาอาศัยในพื้นที่ เช่น พม่า ชาวกัมพูชา ชาวโรฮิงยา เป็นต้น จากสภาพความเป็นพหุวัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้ต้นทุนชีวิต ภาวะสุขภาพผู้คนมีความแตกต่างกัน
    โรงพยาบาลยะหริ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนมีต้นทุนการทำงานที่บูรณการความเป็นพหุวัฒนธรรมในทุกหน่วยงานย่อยและพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ปัญหาสุภาพของพื้นที่ ประเด็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยและสัมพันธ์กับบริบทความเชื่อ ศาสนาและวิถีชีวิตคือ อนามัยแม่และเด็ก รายงานในพื้นที่มีการเสียชีวิตของมารดา การตั้งครรภ์เสี่ยงสูงอย่างต่อเนื่องทุกปี ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในปัญหาสุขภาพได้แก่ การไม่นิยมคุมกำเนิดตามหลักการศาสนา ความยากจนและการไม่สามารถเข้าถึงระบบสุขภาพ (ในชนบทหากสามีไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านภรรยามักเลี้ยงลูกตามลำพัง) ความไม่สะดวกในการเข้าถึงบริการปฐมภูมิ นอกจากประเด็นการตั้งครรภ์แล้ว การเข้าถึงบริการวัคซีนขั้นพื้นฐานก็เป็นปัญหาสำคัญ การขับเคลื่อนโดยนำรูปแบบการบริการสุขภาพในสังคมพหุวัฒนธรรมชายแดนใต้มาสู่การปฏิบัติมีจุดเน้นเกี่ยวกับการปรับระบบบริการของโรงพยาบาลและการขับเคลื่อนระดับชุมชนเกี่ยวกับ smart kid ของชาวยะหริ่ง ปัจจัยนำเข้า
    บุคลากรโรงพยาบาลยะหริ่งมีต้นทุนการทำงานเชิงพหุวัฒนธรรม มีทักษะการใช้ความเป็นพหุวัฒนธรมในการแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ทีมงานมีการเตรียมด้านบุคลากรสำหรับการขับเคลื่อนการนำแนวทางการให้บริการในสังคมพหุวัฒนธรรมโดยการจัดอบรมเตรียมความพร้อม มีการเชิญเครือข่ายผู้รู้ในหลักการศาสนาทั้งอิสลามและวิถีพุทธมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ วางแผน และขับเคลื่อนกิจกรรม
    กระบวนการ การขับเคลื่อนระบบบริการที่คำนึงถึงมิติทางวัฒนธรรมของโรงพยาบาลยะหริ่งมีการทำงานที่คู่ขนานระหว่างการพัฒนาระบบการดูแลในโรงพยาบาลและการทำงานขับเคลื่อนส่งเสริมสุขภาพในชุมชน รายละเอียดมีดังนี้ การพัฒนาระบบการดูแลในโรงพยาบาล การดูแลเพื่อตอบสนองความต้องการด้านวัฒนธรรมในผู้มารับบริการเป็นกิจกรรมที่มีมาก่อน แต่ทีมผู้ดำเนินงานมีการสร้างความพร้อมของกิจกรรมปกติของโรงพยาบาลโดยมีการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างแนวปฏิบัติในแต่ละหน่อยย่อยภายในโรงพยาบาลให้ครอบคลุมทุกหน่วย เช่น แผนกผู้ป่วยนอก แผนกทันตกรรม แผนกฉุกเฉิน แผนกเภสัชกรรม แผนกแพทย์แผนไทย แผนกผู้ป่วยใน แผนกฝากครรภ์ หน่วยห้องคลอด แผนกหลังคลอด เป็นต้น การร่วมกันทบทวนและออกแบบการบริการทำให้เกิดแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ได้แนวทางในการทำงานที่มีความชัดเจนสำหรับผู้ปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง ด้านองค์ประกอบสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการปฏิบัติศาสนากิจของญาติและผู้ป่วย พบว่ามีศาลาละหมาดและห้องพระครบ แต่ศาลาละหมาดน่าจะมีการใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องและทั่วถึงทั้งส่วนของบุคลากรและผู้ป่วย/ญาติ ส่วนกิจกรรมในห้องพระยังไม่ชัดเจนอาจเนื่องจากลักษณะการปฏิบัติศาสนกิจของบุคลากรหรือผู้ป่วยช่วยพุทธที่มีความแตกต่างหลากหลาย ยังจำเป็นต้องมีการพูดคุยทบทวนหาแนวปฏิบัติกลางร่วมกันเพื่อสามารถให้สถานที่และทรัพยากรที่กำหนดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะการส่งเสริมให้ปฏิบัติศาสนกิจในแต่ละศาสนาจะก่อให้เกิดผลดีต่อบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ภายหลังจากการขับเคลื่อนระบบบริการมีกิจกรรมติดตามเพื่อประเมินผลคือ การทำกิจกรรมพบปะยามเช้า จัดกิจกรรมเดือนละ 1 ครั้ง พูดคุยปัญหาต่าง ๆ ในการทำงานนำหลักศาสนามาเป็นแนวทางในการจัดการ การทำงานขับเคลื่อนส่งเสริมสุขภาพในชุมชน
    ทีมงานโรงพยาบาลยะหริ่งเลือกกิจกรรมการดูแลเด็กยะหริ่ง smart kid ด้วยวิธีชุมชน เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการการจัดบริการสุขภาพ มีแนวทางในการดำเนินการดังนี้ 1. การจัดเวทีประชาพิจารณ์ชุมชนรับฟังความคิดเห็นเรียนรู้วิถีชุมชนสู่งานบริการสาธารณสุขบนพื้นฐานพหุวัฒนธรรมและจัดรูปแบบบริการให้สอดคล้องกับวิถีมุสลิมและพุทธ 2. การอบรมหลักธรรมทางศาสนากับการบริการที่มีคุณภาพตามวิถีชุมชนและทบทวนแนวทางการดูแลผู้รับบริการ กระบวนการทำงาน จัดทำคู่มือ/แนวทาง/วิธีปฏิบัติตามหลักศาสนาเทียบเคียงให้สอดคล้องกับวิถีชุมชน 3. การดูแลเด็กยะหริ่ง smart kid ด้วยวิถีชุมชน 4. การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อจัดบริการภายในโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ศูนย์สุขภาพชุมชน สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ 5. การพัฒนาคุณภาพการบริการตามวิถีชุมชนโดยกระบวนการ CQI, R2R และนวตกรรมการดูแล 6. แลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดบริการพหุวัฒนธรรมร่วมกับเครือข่าย ผลผลิต 1. ได้ข้อเสนอแนะแนวทางการจัดทำคู่มือ/แนวทางตามวิถีชีวิตชุมชน 2. ความพึงพอใจร้อยละ 90
    3. อื่น ๆ วิจัย CQI ผลลัพธ์และผลกระทบ
    ไม่ชัดเจน สิ่งที่ต้องพัฒนาและความท้าทายที่ต้องทำต่อ 1. การสื่อสารองค์กร จากการพบปะพูดคุยกับทีมแกนนำพบว่า การรับรู้ของบุคลากรในโรงพยาบาลยังไม่ตรงกัน รวมถึงการสื่อสารชุมชนเกี่ยวกับนโยบายการให้บริการที่คำนึงถึงมิติเชิงวัฒนธรรมอย่างทั่งถึง หากมีการสื่อสารที่ชัดเจนน่าจะทำให้งานสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม 2. กระบวนการขับเคลื่อนมีแผนงานที่ชัดเจน เน้นย้ำให้เป็นนโยบายองค์กรมากกว่าให้บุคลากรทำตามความสนใจส่วนบุคคลจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์การดำเนินงานได้อย่างชัดเจน เกิดผลกระทบต่อการแก้ปัญหาสาธารณสุขของพื้นที่ 3. การมองภาพความเป็นพหุวัฒนธรรมที่มากกว่าความแตกต่างในศาสนาน่าจะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาสาธารณสุขหน้างานได้มากขึ้น เช่น
    ก. การเข้าถึงระบบบริการสุขภาพของผู้รับบริการที่เกิดจากความจำกัดของสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม
    ข. การมีความไวต่อประเด็นพหุวัฒนธรรมของบุคลากรทุกระดับทั้งในระบบบริการของโรงพยาบาลยะหริ่งและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบลในพื้นที่ 4. การขับเคลื่อนการบริการพหุวัฒนธรรมเพื่อตอบโจทย์ตัวชี้วัดด้านสุขภาพควบคู่กับการได้ทำตามความเชื่อเชิงศาสนาทำให้เห็นภาพความเป็นพหุวัฒนธรรมที่มีส่วนช่วยให้เกิดผลลัพธ์ด้านสุขภาพและส่งเสริมมาตรฐานการบริการ

     

    15 20

    6. ลงพื้นที่โรงพยาบาลเทพา ครั้งที่2

    วันที่ 2 ตุลาคม 2561 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    เก็บข้อมูลการจัดรูปแบบระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาลเทพา โดยใช้แบบสอบถาม และสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    เกิดข้อมูลการจัดรูปแบบระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาลเทพา โดยใช้แบบสอบถาม และสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง

     

    12 12

    7. ลงพื้นที่โรงพยาบาล.รือเสาะ ครั้งที่1

    วันที่ 4 ตุลาคม 2561 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    เก็บข้อมูลการจัดรูปแบบระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาลรือเสาะ โดยใช้แบบสอบถาม และสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง เยี่ยมชนชุมชนไทยพุทธบ้านไทยสุข

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    ปัจจัยนำเข้า ด้านคน โรงพยาบาลรือเสาะมีต้นทุนด้านคนที่สำคัญคือ 1) ผู้บริหารโรงพยาบาลที่มีความเป็นนักวิชาการและนักพัฒนาที่เข้าใจการทำงานขับเคลื่อนสังคม จากการรับฟังข้อมูลพบว่า เมื่อเข้ามารับราชการโรงพยาบาลรือเสาะใหม่ๆ และเห็นความซับซ้อนของปัญหาทั้งระบบจึงเริ่มจากพัฒนาระบบบริการในโรงพยาบาลเป็นอันดับแรกเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนต่อโรงพยาบาลและสร้างขวัญกำลังใจแก่สมาชิกทีมงานของโรงพยาบาลและต่อมาเริ่มขยับงานสู่การขับเคลื่อนชุมชนและสังคม 2) ทีมงานบุคลากรโรงพยาบาลที่มีประสบการณ์ทำงานก้าวข้ามความยากลำบากมาด้วยกันในช่วงวิกฤตพื้นที่และวิกฤตศรัทธา มีความภาคภูมิใจ มีความมุ่งมั่น มีจิตอาสาที่จะขยับงานพัฒนาระบบบริการสุขภาพ นอกจากนี้ทีมบุคลากรส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเป็นคนพื้นถิ่นที่เข้าใจวัฒนธรรม 3) ต้นทุนเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่ ชุมชนบ้านไทยสุขซึ่งมีผลการทำงานเชิงพัฒนาต้นแบบวิถีพุทธ เป็นชุมชนตัวอย่างที่พร้อมเป็นแกนนำในการทำงานเพื่อขยายบทเรียนรู้สู่ชุมชนชาวไทยมุสลิมโดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อน 4) ผู้นำศาสนาและผู้นำชุมชน มัสยิดต้นแบบขับเคลื่อนสุขภาพ การพบปะผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ทำธรรมนูญสุขภาวะมัสยิดพบว่า โต๊ะอิหม่ามและทีมงานมีความสนใจเรื่องสุขภาพและประพฤติตนเป็นแบบอย่างด้านสุขภาพ สนใจนำบทเรียนรู้จากบ้านไทยสุขมาสู่การปฏิบัติในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง

    ด้านทรัพยากร การรับฟังการถอดบทเรียนการทำงานของทีมงานโรงพยาบาลรือเสาะ มีประเด็นการใช้ทรัพยากรที่น่าสนใจดังนี้ 1) ทีมคณะผู้บริหารโรงพยาบาลรือเสาะมีศักยภาพในการหาทุนสนับสนุนจากภาคีเครือข่าย มีบางอาคารที่ได้รับงบประมาณการปรับปรุงจากเทศบาล มีการวางแผนแสวงหาแหล่งทุนอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง 2) การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เน้นการตกแต่ง ปรับเปลี่ยนภายในอาคารแทนการสร้างอาคารใหม่ที่ใช้งบประมาณสูง สถานบริการออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเอื้ออำนวยต่อการเยียวยา 3) มีการงบเชิงบูรณาการงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่า 1 ด้าน จากการรับฟังการขับเคลื่อนงานพัฒนาเชิงพหุวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่องพบว่าผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลไม่ติดลบ สะท้อนความเป็นมืออาชีพในการบริหารทรัพยากร ทุนองค์กร เมื่อพิจารณาทุนของโรงพยาบาลรือเสาะก็จะพบว่า โรงพยาบาลรือเสาะมีทุนทางวัฒนธรรมที่เป็นจุดเด่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเองก็ได้นำวัฒนธรรมที่เป็นจุดเด่นมาสร้างการเรียนรู้ในองค์กรโดยเน้นการบริการทางการแพทย์เชิงรุก แก้ปัญหาที่ต้นเหตุของสุขภาพ ให้คนในชุมชนมีความตระหนัก ซึ่งได้วางวัตถุประสงค์ความสำเร็จไว้เพียง 2 ประเด็นคือ 1)ให้ชุมชนเปิดใจคุยกับทางโรงพยาบาล 2)คนในชุมชนเริ่มที่จะเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อปรับเปลี่ยนการบริการของโรงพยาบาลให้มีความเป็น “บารอกัต” เหล่านี้จะแก้ปัญหาข้อร้องเรียนต่างๆจากผู้มารับบริการได้ การดำเนินการให้มีความเป็นบารอกัต จะต้องเข้าใจ เข้าถึง วัฒนธรรม ภูมิปัญญาวิธีคิด เศรษฐกิจ และทรัพยากร ของชุมชนที่ส่งผลต่อการอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมนั้นๆ
    แม้พื้นที่อำเภอรือเสาะจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่แต่ยังเป็นพื้นที่มีจุดขายและสร้างมูลค่าเพราะมีประสบการณ์แก้ปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อน สามารถยกระดับเป็นแม่ข่ายการพัฒนาพื้นที่อื่นที่มีบริบทใกล้เคียงทั้งในและต่างประเทศ กระบวนการ การขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมชายแดนใต้บูรณาการอยู่ในประเด็นยุทธศาสตร์และแผนงานของโรงพยาบาลดังนี้คือ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาคุณภาพการบริหาร บริการ และวิชาการขององค์กร อยู่ภายใต้แผนงานสร้างทักษะบุคลากรสมรรถนะเชิงวัฒนธรรมและแผนงานพัฒนาบริการโดยใช้เครื่องมือ happynomitor และแผนงานเสริมสร้างสุขภาพวิถีธรรม งบประมาณจากเงินบำรุงโรงพยาบาล ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 การส่งเสริมสุขภาพให้คนรือเสาะมีสุขภาวะตามบริบททางสังคม ประเด็นท้าทายเกี่ยวกับการทำงานเชิงรุกภายใต้สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่โดยการพัฒนาระบบการเข้าถึงและการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพตามกลุ่มวัยและบริบททางสังคม ภายใต้การดำเนินงาน 3 แผนคือ 1) แผนงานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มเสี่ยง NCD 2) แผนงานระบบ EMS/pre hospital care โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่าย และ3) แผนงานการพัฒนาสื่อสุขภาวะ งบประมาณจากเงินกองทุนตำบล/หลักประกันสุขภาพ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาระบบบริหาร จัดการระบบสุขภาพให้มีประสิทธิภาพและเอื้อต่อการจัดบริการทางสุขภาพ แผนงานพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านจัดการสุขภาพ (ศาสนสถานต้นแบบการจัดการสุขภาพและชมรมสุขภาพต้นแบบ) จากบริบทโรงพยาบาลและแผนยุทธศาสตร์ที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นการขับเคลื่อนระบบสุขภาพที่คำนึงถึงมิติทางวัฒนธรรมที่มีมาก่อนการสนับสนุนโครงการการนำแนวทางการจัดบริการสุขภาพในสังคมพหุวัฒนธรรมไปลงมือปฏิบัติ จากการเยี่ยมพื้นที่ระบบบริการที่โรงพยาบาลดำเนินการอยู่มีการปรับเปลี่ยน ได้รับการยกระดับในเชิงโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริการที่ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อเอื้ออำนวยให้ตอบโจทย์ความต้องการตามวิถีชีวิต และความเชื่อของประชาชน ผลการดำเนินงานที่กล่าวมาข้างต้นถอดบทเรียนได้สาระสำคัญ 2 ประเด็น 1. การคงไว้ซึ่งการบริการที่ตอบสนองความต้องการผู้รับบริการในบริบทพหุวัฒนธรรม จากที่เกริ่นนำต้นว่าโรงพยาบาลรือเสาะได้พยายามปรับเปลี่ยนการจัดบริการที่คำนึงถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมมาก่อนช่วงรอยต่อการเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ทำให้องค์ประกอบจำเป็นจากรูปแบบการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมชายแดนใต้มีอยู่ในระบบบริการสุขภาพปกติของโรงพยาบาลแล้วส่วนหนึ่ง เช่น การจัดบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเรื้อรังช่วงถือศีลอด การดูแลหญิงตั้งครรภ์และทารกแรกเกิด การบริการแพทย์ทางเลือกที่สอดคล้องกับหลักศาสนา การส่งเสริมการปฏิบัติศาสนกิจของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และโรงพยาบาลมีโครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามหากมองตามแนวทางที่โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมชายแดนใต้การจัดองค์ประกอบการให้บริการที่เอื้ออำนวยสำหรับผู้รับบริการชาวพุทธต้องดำเนินการเพิ่มเติม สถานที่อาจไม่สะดวกต่อผู้มาใช้บริการ เป็นสิ่งที่ผู้บริหารโรงพยาบาลมีความตระหนักและให้ความสำคัญ มีแนวทางที่จะดำเนินการต่อในอนาคต 2. การขยายระบบบริการที่ใช้ฐานคิดความเป็นพหุวัฒนธรรมขับเคลื่อนสู่ชุมชน อยู่ในระหว่างริเริ่มดำเนินการ กลยุทธ์การทำงานผู้อำนวยโรงพยาบาลเริ่มขยับงานจากหมู่บ้านไทยสุขซึ่งเป็นชุมชนไทยพุทธมีศูนย์กลางกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่วัดชนาราม เป็นชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมสุขภาพโดยเฉพาะการขับเคลื่อนการแพทย์วิถีธรรม จากการเยี่ยมชมกิจกรรมของชุมชนพบว่ามีความโดดเด่นได้รับรางวัลจากการเข้าประกวดนวตกรรมด้านสุขภาพ เริ่มจากต้นทุนชุมชนที่ประสบความสำเร็จขับเคลื่อนผ่านกิจกรรมประชาพิจารณ์เป็นธรรมนูญสุขภาวะวัดชนารามทีมีสาระสำคัญการนำหลักคำสอนพุทธศาสนามาใช้ในการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพ จากนั้นได้นำต้นแบบงานสุขภาพจากวัดชนารามมาขับเคลื่อนสู่ต้นแบบมัสยิดเป็นต้นแบบการส่งเสริมสุขภาพ ทีมงานได้เลือกใช้พื้นที่ชุมชนมุสลิมที่ผู้นำศาสนามีความสนใจเข้ามาเป็นภาคีเครือข่าย และพื้นที่นำร่องมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับโรคเรื้อรังที่พบบ่อย ได้แก่ ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองและตีบตัน และสมาชิกชุมชนยังมีพฤติกรรมเสี่ยงด้านสุขภาพ
    แผนในการดำเนินการทางผู้อำนวยการเกี่ยวกับการจัดการสุขภาวะทางการแพทย์พหุ วัฒนธรรมในโรงพยาบาลและชุมชน จะเน้นสุขภาวะผ่านกรอบกิจกรรมคุณภาพชีวิต 5 ด้าน ได้แก่
    1) ด้านปกป้องจิตวิญญาณ เป็นกิจกรรม 3ส. (สวดมนต์/ดุอา, สมาธิ/อีหม่าน, สนทนาธรรม/นาศีฮัต) มีการจัดมุมธรรมะ เพื่อสุขภาพ อ่านหนังสือ จัดทำสื่อ รวมถึงมีนักสื่อสารด้านจิตวิญญาณ ซึ่งจะพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการดูแลผู้ป่วยมิติจิตวิญญาณ 2) ด้านปกป้องชีวิต เป็นกิจกรรม 3อ. (อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย) โดยใช้นาฬิกาชีวิต นั่นคือแบบแผนการจัดการชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งมีลานสุขภาวะ เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ทั้งยังมีการจัดอุปกรณ์เพื่อการออกกำลังกาย 3) ด้านปกป้องสติปัญญา เป็นกิจกรรมแนวทางการจัดการความรู้ให้รู้เท่าทันโรค มีการสื่อสารข่าวทางด้านสุขภาพผ่านช่องทางการกระจายข่าวสาร 4) ด้านปกป้องครอบครัว เป็นกิจกรรมดูแลสมาชิกในบ้านตามกลุ่มวัย (เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ) เพื่อนบ้าน ศาลาสุขภาพใกล้บ้าน รวมถึงมีเวทีเด็กและเยาวชน
    5) ด้านปกป้องทรัพยากร เป็นกิจกรรมสัจจะหมู่บ้าน ป้องกันการกู้ยืมนอกระบบ และกองทุนขยะชุมชน ดังนั้นโรงพยาบาลรือเสาะมีการสร้างเสริมสุขภาพให้ประชาชนมีสุขภาพดีตามบริบททางสังคมและสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้สุขภาพ ผ่านกิจกรรม 3ส. (สวดมนต์/ดุอา, สมาธิ/อีหม่าน, สนทนาธรรม/นาศีฮัต) 3อ. (อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย) และ 1น. (นาฬิกาชีวิต วิถีสุนนะห์ 24 ชั่วโมง) พร้อมกันนั้นนี้ ชุมชนเองก็ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลในการสร้าง “ธรรมนูญสุขภาวะมัสยิด และธรรมนูญสุขภาวะวัดชนาราม” จะเห็นได้ว่าการนำแนวคิดการแพทย์พหุวัฒนธรรมมาใช้จำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับชุมชนเพื่อให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม กำหนดเป็นวิธีการดำเนินงานร่วมกันผลักดันให้เกิดนโยบายที่เป็นรูปธรรมสู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนในการส่งเสริมการดูแลสุขภาพวิถีการแพทย์พหุวัฒนธรรม
    กิจกรรมการขับเคลื่อนงานระดับชุมชนโดยโรงพยาบาลรือเสาะและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอยู่ในช่วงเริ่มต้นโดยการกำหนดให้ทีมงานจากหมู่บ้านไทยสุขเป็นต้นแบบการขับเคลื่อน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างทีมงานวัดต้นแบบด้านสุขภาพและทีมงานมัสยิดต้นแบบ มีการทำประชาพิจารณ์เกิดธรรมนูญสุขภาวะมัสยิดและธรรมนูญสุขภาวะวัดชนาราม สาระสำคัญของธรรมนูญสุขภาวะมัสยิดและวัดชนารามมีทั้งหมด 6 หมวด คือ ด้านความมั่งคงปลอดภัยในชีวิต ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านการครอบครัวและสังคม ด้านทรัพย์สิน เศรษฐกิจ และทรัพยากรชุมชน ด้านการขับเคลื่อนธรรมนูญสู่การปฏิบัติ รายละเอียดภายใต้ธรรมนูญนี้สะท้อนภาพการทำงานที่อาศัยความร่วมมือของสมาชิกในชุมชน มีการนำหลักการศาสนาของสมาชิกในชุมชนมาประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาวะองค์รวม ส่งเสริมการทำนุบำรุงศาสนาที่สมาชิกชุมชนศรัทธา และสร้างเครือข่ายชุมชนที่มีความแตกต่างในหลักการปฏิบัติทางศาสนาให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข สมาชิกจากชุมชนมุสลิมเกิดประเด็นว่าส่วนใหญ่แต่ละฝ่ายต่างก็ใช้ชีวิตในพื้นที่ ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปมาหาสู่ เมื่อเริ่มกิจกรรมประชาพิจารณ์และวงคุยได้เห็นชุมชนชาวพุทธมีการใช้หลักศาสนาในการส่งเสริมสุขภาพ การสังเกตการณ์ปรับภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมพบว่า โรงพยาบาลรือเสาะไม่ได้ใช้ป้ายประชาสัมพันธ์ (ภาษาไทยกลาง-ภาษามาลายู) เหมือนโรงพยาบาลอื่น ๆ ซักถามเบื้องต้นพบว่าประชาชนเองไม่ได้แสดงออกถึงความต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการเป็นเรื่องของคุณภาพการบริการที่ตอบโจทย์ด้านความเจ็บป่วยและมิติจิตใจและจิตวิญาณผ่านการส่งเสริมการประกอบศาสนกิจในระหว่างการดูแลที่ตามมารฐานการแพทย์และพยาบาล ทำให้เห็นภาพการขับเคลื่อนพหุวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการด้านคุณภาพชีวิตในเชิงลึก คุณค่าของการบริการที่เป็นลักษณะความเป็นสากล

     

    70 10

    8. ลงพื้นที่โรงพยาบาลธารโต

    วันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 เวลา 07:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    เก็บข้อมูลการจัดรูปแบบระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาลธารโต โดยใช้แบบสอบถาม และสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง

    1. การนำรูปแบบแนวปฏิบัติการดูแลเชิงพหุวัฒนธรรมนำไปใช้จริงในโรงพยาบาล มีแนวปฏิบัติการมารับบริการเพิ่มเติมจากเดิมที่มีมาก่อน ก.ระบบบริการสำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่มารับบริการ การมีห้องพระสำหรับสนทนาธรรมที่เป็นสัดส่วน มีบริการหนังสือหลักธรรมะสองศาสนาสำหรับผู้ป่วยในที่นอนรับการดูแล กรณีพระภิกษุต้องพักนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลพยายามจัดสรรห้องแยกให้กับพระภิกษุ มีอุปกรณ์จัดตั้งหิ้งพระพร้อมเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติศาสนกิจของภิกษุ
      ข.การมีตู้หนังสือธรรมะ พระคัมภีร์ สำหรับผู้ป่วยในและญาติได้ศึกษาในช่วงนอนรักษาที่โรงพยาบาล
    2. การขยายของเขตพหุวัฒนธรรมสู่ชุมชน เป็นการทำงานที่มองพหุวัฒนธรรมเป็นการทำงานแบบภาคีเครือข่าย โดยโรงพยาบาลธารโตดำเนินโครงการ การจัดระบบบริการสุขภาพด้านพัฒนาเด็กแรกเกิดจนถึงวัยเรียนในพื้นที่พหุวัฒนธรรมเครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอธารโต มีวัตถุประสงค์ได้แก่ 1) เพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพสอดคล้องกับวิถีชีวิตประชาชน นำหลักศาสนาควบคู่หลักบริการสุขภาพ 2) เพื่อนำหลักการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนานำมาปฏิบัติในระบบบริการสุขภาพสถานบริการสาธารณสุข และ 3) เพื่อส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์ เด็กแรกเกิดจนถึงวัยเรียนมีคุณภาพ พัฒนาการสมวัย (ลดเตี้ย)เด็กฉลาด ภาคีการทำงานประกอบด้วย สภาพหุวัฒนธรรมของโรงพยาบาล บุคลากรโรงพยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุขมูลฐาน ครู ผู้นำศาสนา ครูสอนตาดีกา ครูสอนอ่านอัลกุรอาน/กีรออาตี พระภิกษุ เจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาเด็ก ผู้ปกครอง กิจกรรมหลักได้แก่ การให้ความรู้/การจัดค่ายจริยธรรมแกนนำผู้ปกครอง/ ผู้ดูแลเด็ก/ครูสอนศาสนา นักเรียนประถม อบรมเตรียมความพร้อมก่อนแต่งงานตามหลักศาสนาสำหรับนักเรียนมัธยมปลาย หญิงตั้งครรภ์

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    เกิดข้อมูลของการให้บริการสุขภาพในโรงพยาบาล ผลผลิต 1. มีระบบเอื้ออำนวยให้สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้การนำรูปแบบแนวปฏิบัติการดูแลเชิงพหุวัฒนธรรมนำไปใช้จริงในโรงพยาบาล 2. กลุ่มเป้าหมายในชุมชนได้รับการอบรมความรู้ เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุ 0-5 ปี ผลลัพธ์ 1. ตัวแทนพยาบาลที่ดูแลในคลินิกผู้ป่วยนอก/หอผู้ป่วยในรู้สึกสบายใจที่มีแนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจนก่อนหน้านี้พยายามทำแต่มีความกังวลภายในใจว่าถูกผิด ได้หรือไม่ได้ โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อพระภิกษุ เมื่อมีการปรับปรุงระบบบริการทำให้เห็นแนวทางที่ชัดเจนที่จะปฏิบัติต่อบุคคลต่างศาสนิก หรือกรณีมีประเด็นที่เกิดความไม่แน่ใจสามารถปรึกษาคณะกรรมการที่มีหน้าที่ดูแลได้
    2. เกิดบรรยากาศองค์กรสะท้อนความมีสุขภาวะองค์กร เน้นคุณธรรมจริยธรรมองค์กรตามหลักการศาสนา บุคลากรเกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน 3. พระภิกษุผู้มารับบริการจากโรคเรื้อรังได้รับการดูแลมีมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน มีความสะดวก 4. ตัวชี้วัดสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะซีด พัฒนาการและสุขภาพของเด็กแรกเกิดถึงอายุ 5 ปี

    ผลกระทบ การแก้ปัญหาของระบบบริการที่อาศัยการทำงานของทุกภาคส่วน บรรลุผล (กรณีการรณรงค์วัคซีนโรคหัด) บทเรียนรู้จากพื้นที่ จุดเด่น 1. ผู้นำมีความใส่ใจ ถ้ามองจากพหุวัฒนธรรมในเชิงศาสนา ผู้อำนวยการเหมือนเป็นตัวแทนผู้รู้ด้านอิสลามศึกษา ในขณะที่รองผู้อำนวยการเป็นตัวแทนของผู้รู้ด้านพุทธศาสนา ด้วยความเป็นผู้รู้ 2. การมีนโยบายที่เอื้อให้บุคลากรมีอิสระในการออกแบบระบบบริการเชิงพหุวัฒนธรรม เช่นกรณีของหน่วยเอ็กซเรย์ของโรงพยาบาลที่บุคลากรออกแบบระบบการบริการช่วยให้เห็นว่าความใส่ใจเชิงพหุวัฒนธรรมทำให้สามารถตอบโจทย์การบริการและตอบโจทย์ศรัทธาที่ 3. บุคลากรเข้าใจนโยบายพร้อมที่จะนำแนวทางไปสู่การปฏิบัติ จากการพบปะในส่วนห้องคลอด แผนกผู้ป่วยนอก ห้องยา สะท้อนภาพการดูแลที่มีความเป็นธรรมชาติ มีความกลมกลืนกับเนื้องาน
    4. การประชาสัมพันธ์ การสื่อสารสังคม

     

    25 25

    9. ประชุมคณะทำงาน

    วันที่ 1 ธันวาคม 2561 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    ปรึกษาสรุปข้อคิดเห็นการถอดบทเรียน

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    ด้านผลผลิต/ด้านผลลัพธ์/ด้านผลกระทบ การทดลองใช้รูปแบบการบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมไปปฏิบัติงานเป็นรูปแบบกว้าง ๆ ไม่ได้กำหนดเป้าหมายร่วมกัน เมื่อสอบถามทีมงานแต่ละฝ่ายยังไม่มั่นใจที่จะนำเสนอว่าหากใช้รูปแบบการจัดระบบสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้อย่างไร ทำให้ยังไม่เห็นตัวชี้วัดร่วมของรูปแบบการปฏิบัติครั้งนี้ จากการลงพื้นที่รับฟังพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์น่าจะช่วยให้เห็นผลของการนำแนวคิดเชิงพหุวัฒนธรรมไปใช้และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบุคลากร ผู้ป่วย ญาติ และสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่ดังนี้ ด้านผลผลิต: จากการตรวจเยี่ยมพบตัวชี้วัดเชิงผลผลิตที่ควรนำมาใช้ในการขับเคลื่อนระยะต่อไปดังต่อไปนี้ 1. การจัดกิจกรรมได้ตามองค์ประกอบที่ปรากฏในรูปแบบระบบบริการสุขภาพ (ครอบคลุม/ไม่คลุม)
    2. ความพึงพอใจต่อกิจกรรมบริการ/การอบรม 3. ความรู้ ทัศนคติ ความมั่นใจ และทักษะของบุคลากรในโรงพยาบาล/กลุ่มจิตอาสาต่อบริการที่จัดหรือกิจกรรมที่เข้าร่วม 4. ต้นแบบการดูแลผู้ป่วยกรณีเลือกสรร ie. การดูแลแบบประคับประคอง. การป้องการภาวะติดเชื้อ การป้องกันภาวะตกเลือดโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน/การประยุกต์หลักศาสนา การรณรงค์ฉีดวัคซีน
    5. ต้นแบบการดูแลสุขภาพ ie.ธรรมนูญมัสยิดสุขภาวะ ธรรมนูญวัดสุขภาวะ 6. คู่มือ/สื่อสุขศึกษา คู่มือการจัดระบบบริการที่เอื้อต่อการปฏิบัติศาสนากิจกิจตามความเชื่อ ด้านผลลัพธ์ ตารางที่ 17 แสดงตัวชี้วัดผลลัพธ์การนำแนวคิดระบบบริการสุขภาพมาทดลองปฏิบัติการในพื้นที่ ด้านผู้รับบริการ ด้านผู้ให้บริการ ด้านสังคม 1. จำนวนผู้ป่วยได้รับการดูแลตามมาตรฐาน 2. จำนวนผู้ป่วยที่มีการควบคุมระดับน้ำตาลเป็นไปตามเกณฑ์ช่วงถือศีลอด 3. อัตราการติดเชื้อภายหลังทำสุหนัต 4. จำนวนมารดาหลังคลอดที่ตกเลือด 5. ความเป็นพันธมิตร 6. อัตราการรับวัคซีนของเด็ก 7. โต๊ะบีดาพอใจบทบาทตนเองที่ถูกปรับเปลี่ยน 1. ระดับความสุขของบุคลากร 2. ความภาคภูมิ 3. เกิดแรงบันดาลใจ 4. เกิดความคิดริเริ่มในการพัฒนางานต่อไป 5. รู้สึกสบายใจไม่อึดอัดใจ 1.เครือข่ายพหุวัฒนธรรม 2.สายใยสังคม/ความผูกพัน 3.ความไว้วางใจ 4.ความเป็นภาคีด้านสุขภาพ


    ด้านผลกระทบ ภาพผลกระทบที่พบได้ในโรงพยาบาลนำร่องที่พบได้แก่ 1. จำนวนข้อร้องเรียนจากผู้มาใช้บริการลดลง 2. เห็นบรรยากาศของความร่วมมือระหว่างนักปฏิบัติการสุขภาพและตัวแทนจากชุมชน มีความรู้สึกเป็นหุ้นส่วนในการทำงาน บางพื้นที่โรงพยาบาลได้รับงบประมาณสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนงานการจัดระบบสุขภาพของโรงพยาบาล 3. ผลกระทบเชิงสันติภาพในบางพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางอุดมการณ์ทางการเมืองเห็นภาพชุมชนพุทธและชุมชนอิสลามหันมาสร้างความร่วมมือ เรียนรู้ร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพ มีการยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น 4. พระเยี่ยมผู้ป่วยมุสลิมได้ ในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่ไม่เกี่ยวกับหลักการเชิงศาสนา (โรงพยาบาลธารโต) ปัญหาอุปสรรคการจัดบริการสุขภาพจากการปฏิบัติการนำร่อง
    จากการถอดบทเรียนการนำแนวทางการจัดการระบบสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมไปปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้โดยรวมไม่ได้มีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน ไม่พบความขัดแย้งเห็นต่างในการนำรูปแบบระบบบริการสุขภาพไปทดลองใช้ โดยสรุปมีเพียง 2 ประเด็น คือ 1. ความไม่ชัดเจนในการสั่งการเชิงนโยบายของศูนย์บริหารการพัฒนาสุขภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ในการนำแนวทางไปใช้ว่าให้ฝ่ายรับทุนของโรงพยาบาลนำร่องดำเนินการทั้งหมดตามแนวปฏิบัติ หรือเลือกสรรเฉพาะประเด็นที่ต้องการขับเคลื่อนในแต่ละโรงพยาบาล เมื่อติดตามถอดบทเรียนและรับฟังการนำเสนอผลการดำเนินงานทำให้เห็นบรรยากาศที่มีการนำเสนอผลงานไม่ตรงตามความคาดหวัง การติดตามเยี่ยมโรงพยาบาลเพื่อถอดบทเรียนบางพื้นที่นำเสนอเฉพาะกิจกรรมชุมชนที่เลือกสรร ในขณะที่บางโรงพยาบาลจะนำเสนอทั้งส่วนการปรับระบบบริการสุขภาพทั้งในโรงพยาบาลและในชุมชน
    2. การเตรียมความพร้อมทีมงานมีน้อย มีการขับเคลื่อนงานไปตามความเข้าใจ ความถนัด ควรมีการหนุนเสริมความรู้ กลยุทธ์การทำงานใหม่ๆ เพราะการขับเคลื่อนประเด็นพหุวัฒนธรรมในพื้นที่ซึ่งมีความขัดแย้งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน องค์ความรู้ ตัวแบบใหม่ ๆ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับนักปฏิบัติการ

    ข้อเสนอแนะเชิงพัฒนา 1. การทบทวนเป้าหมายร่วมของการขับเคลื่อนเพื่อจัดระบบบริการสุขภาพในสังคมพหุวัฒนธรรมให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นเพื่อสามารถติดตามตัวชี้วัดในแต่ละระดับ และหนุนเสริมการทำงานเชิงนโยบายได้อย่างถูกต้อง สืบเนื่องจากจุดเริ่มต้นของรูปแบบมาจากการพยายามนำหลักการทางศาสนามาประยุกต์ใช้เพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาในระบบสุขภาพ ทำให้รูปแบบมักมุ่งเน้นไปในแนวทางที่จะดูแลผู้ป่วย/ญาติขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล รวมถึงการวางแผนการดูแลเพื่อส่งต่อเมื่อจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล เป็นลักษณะรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากการแพทย์กระแสหลัก แต่แนวคิดเชิงศาสนาเป็นแนวคิดแบบองค์รวมเมื่อการขับเคลื่อนจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่หลากหลาย ครอบคลุมความเป็นองค์รวมของบุคคล เมื่อทดลองใช้รูปแบบปรากฏผลสะเทือนระดับบุคคล กลุ่มคน องค์กร ชุมชน ดังนั้นเพื่อให้การขับเคลื่อนในระยะต่อไปมีทิศทางไปแนวเดียวกันในการขับเคลื่อนสังคมเวทีค้นหาเป้าหมายร่วมเพื่อการขับเคลื่อนงานควรนำไปสู่การสร้างพลังกลุ่ม ขยายขอบเขตการทำงานท้ายสุดน่าจะนำไปสู่การจัดระบบบริการสุขภาพในสังคมพหุวัฒนธรรมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ 2. การใช้วิจัยเป็นเครื่องมือเพื่อตรวจสอบติดตามตัวชี้วัด ยกระดับกระบวนการทำงาน จากการติดตามถอดบทเรียนทีมงานนักปฏิบัติการสุขภาพรวมถึงคณะทำงานโดยรวมมีทัศนคติเชิงบวกต่อการนำรูปแบบการจัดบริการสุขภาพในสังคมพหุวัฒนธรรมมาทดลองปฏิบัติงาน แต่เมื่อถามถึงผลลัพธ์หรือผลกระทบทีมงานยังไม่แน่ใจที่นำเสนอ อาจเกิดจากระยะเวลาในการทดลองปฏิบัติสั้นเพียงหกเดือน หรือกระบวนการในแต่ขั้นตอนยังไม่ได้ออกแบบให้สามารถวัดประเมินได้อย่างเป็นระบบ การส่งเสริมให้มีการพัฒนางาน ทำวิจัยจากหน้างานเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดมาตรฐานการทำงานน่าจะทำให้เห็นผลลัพธ์หรือผลกระทบที่มีความชัดเจน กระบวนการวิจัยจะช่วยให้นักปฏิบัติการได้ตรวจสอบองค์ความรู้ พัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นเชิงวัฒนธรรม 3. ในการพัฒนาการจัดระบบบริการสุขภาพระยะต่อไปควรการเติมเต็มความรู้และทักษะของบุคลากร การสร้างความเข้าใจเกี่ยวมนุษยวิทยาของผู้คน การขยายกรอบพหุวัฒนธรรมให้ก้าวพ้นเชิงศาสนาจะช่วยยกระดับระบบบริการสุขภาพได้ดีกว่า (ตัวอย่างโรงพยาบาลธารโตแก้ปัญหาวัคซีนได้มากกว่า ร้อย 90 และมีความยั่งยืน หรือ โรงพยาบาลสตูลที่สามารถแก้ปัญหาอนามัยแม่และเด็กได้ รวมทั้งการแก้ปัญหาการติดเชื้อหลังทำพิธีสุหนัตโดยหน่วยงานเอกชน)
    4. การสื่อสารเชิงวัฒนธรรมยังเป็นงานที่ต้องศึกษาและวางแผนการทำงานต่อ ตัวอย่างประเด็น สื่อที่เหมาะสมกับพหุวัฒนธรรมคืออะไร คู่มือสำหรับเจ้าหน้าที่/แล้วคู่มือนี้ผู้ใช้บริการอ่านจริงไหม ต้องเป็นภาษามาลายูไหม ในความเป็นจริงพหุวัฒนธรรม การสื่อสารผ่านบุคคล นักปฏิบัติการได้ไปถึงจุดนั้นแค่ไหน แม้แต่ป้ายก็อาจไม่จำเป็น บางพื้นที่ประชาชนบอกไม่ได้สนใจว่าต้องเป็นภาษามาลายู แต่จะทำอย่างไรเมื่อเขามาในระบบความต้องการสุขภาพได้รับการตอบสนอง 5. การขยายงานในระยะต่อไปควรมีทิศทางแบบจุดร่วมและจุดเด่น กล่าวคือ 1.จุดร่วมน่าจะเป็นมาตรฐานกลางของแนวปฏิบัติในการจัดบริการสุขภาพที่ทดลองใช้ในระยะที่ผ่านมา ซึ่งโดยรวมทั้ง5 โรงพยาบาลนำร่องถือว่าสามารถดำเนินการได้และไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งเพราะสะท้อนภาพศาสนาคือความผาสุก สันติภาพ ทุกฝ่ายที่พยายามปฏิบัติในรอบการดำเนินงานที่ผ่านค่อนข้างได้ผล คลี่คลายความไม่รู้จักซึ่งกันและกัน เกิดการปรับตัวที่ยึดศาสนาเป็นกรอบแนวทางเพื่อแข็งขันทำสิ่งที่ดีงาม อย่างไรก็ตามมีบางโรงพยาบาลนำร่องที่ยังมีความไม่มั่นใจที่จะนำสู่การปฏิบัติ เช่น การแสดงระบบบริการเชิงสัญลักษณ์ที่เอื้ออำนวยทุกฝ่ายให้สามารถเข้าสู่ระบบอย่างเท่าเทียม (รพ.รือเสาะไม่ได้พยายามนำเสนอการมีพื้นที่สำหรับผู้รับบริการเชิงพุทธที่สามารถเข้าถึงและสะดวกกรณีการมีห้องพระ ต่างจากโรงพยาบาลธารโตที่นำเสนอภาพสองศาสนาและการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์เช่น ป้าย ที่นั่ง บริการต่างๆ สำหรับพระภิกษุอย่างชัดเจน ผลจากการดำเนินงานกลับทำให้แต่ละฝ่ายรู้จักกันเพิ่มขึ้น ผู้ให้บริการสบายใจเพราะมีระบบเส้นทางชัดเจน) การเลี่ยงการขับเคลื่อนประเด็นนี้ไม่แน่ใจว่าเกิดจากความไม่มั่นใจการสะท้อนกลับจากพื้นที่ขัดแย้งเชิงอุดมการณ์หรือการพยายามมองพหุวัฒนธรรมเป็นโรงพยาบาลที่มุ่งเน้นเชิงศาสนา) แต่ถ้าต้องการลดความแปลกของสังคมการทำให้คุ้นชินต่อความแตกต่างน่าจะช่วยส่งผลในระยะยาว และ2. จุดเน้นน่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกพื้นที่ขยายศักยภาพความชำนาญ การแก้ปัญหาในหน้างานที่มีความเฉพาะเจาะจง เพราะหากใช้เพียงกรอบหลักคิดเชิงศาสนาที่นำเสนอระยะแรกทำให้การแก้ปัญหาสุขภาพไม่สามารถเกิดได้ตามบริบทความต้องการ และต้นทุนแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน การส่งเสริมจุดเน้นทำให้กระบวนการขับเคลื่อนมีความยั่งยืน ตอบโจทย์ที่ท้าทายแต่ละพื้นที่

     

    5 5

    10. ลงพื้นที่โรงพยาบาลสตูล

    วันที่ 10 ธันวาคม 2561 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    1.ประชุมรับฟังการรายงานสอบถามรูปแบบระบบบริการพหุวัฒนธรรมและสอบถามผลการปฏิบัติงานข้อสงสัย ผู้รับผิดชอบงานได้นำเสนอบริบทและผลการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดบริการสุขภาพพหุวัฒนธรรมที่มีกิจกรรมทั้งในโรงพยาบาลและการทำงานร่วมกับเครือข่าย
      1.1 การจัดะบบบริการในโรงพยาบาลมีความครอบคลุมตามต้นแบบกิจกรรมที่ทางสจรส.ได้กำหนด ตัวอย่าง 1) แผนกผู้ป่วยนอกมีที่นั่งสำหรับพระภิกษุขณะรอตรวจ มีเส้นทางพิเศษสำหรับชาวเลที่ต้องกลับขึ้นเกาะ มีช่องทางแรงงานต่างด้าว มุมนมแม่สำหรับสตรีมาตรวจแต่ยังเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา 2)ห้องคลอด มีการบริการมีมุมอาซาน อนุญาตให้สามีหรือมารดาเฝ้าคลอด การให้ความรู้ในการปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักศาสนาและแนวทางการแพทย์เพ่ือลดการตกเลือดและติดเชื้อหลังคลอด 3) หอผู้ป่วยในมีมุมละหมาด และห้องพระเพ่ือให้ผู้ป่วยสามารถประกอบศาสนกิจในระหว่างที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล มีบริเวณที่พักสำหรับญาติที่ต้องเฝ้าผู้ป่วยและค้างคืนทำให้ลดความแออัดการรอตามจุดต่าง ๆ และญาติได้มีสถานที่สำหรับพักและผ่อนคลายอารมณ์ มีกิจกรรมทำบุญตักบาตรสำหรับผู้ป่วยชาวพุทธ ขณะนอนรพ.มีอาหารฮาลาล อาหารตามโรค และอาหารเจ/มังสะวิรัติ มีศาลาละหมาดสำหรับเจ้าหน้าที่ ผู้ป่วย ผู้มาเยี่ยม และ 4) รพ.สตูลมีการปรับภูมิทัศน์ในโรงพยาบาลให้มีความสะอาด ต้นไม้ร่มรื่น สงบเหมาะกับฟื้นฟูความเจ็บป่วย
    1.2 กิจกรรมในชุมชน มีการสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายผู้นำศาสนาและภาคประชาสังคมจัดกิจกรรมพิธีสุหนัตที่สอดคล้องกับหลักศาสนาและได้มาตรฐานเชิงการแพทย์เพ่ือลดการติดเชื้อ 1.3 ระบบการดูแลศพไร้ญาติในกรณีชาวมุสลิมมาเลเซียมาเสียชีวิตในเมืองไทย บริจาคผ้าห่อศพการจัดกิจกรรมพิธีฝังศพเป็นต้น 2.ประเมินสมรรถนะการให้บริการทางพหุวัฒนธรรม เป็นการสุ่มเก็บข้อมูลตามความสะดวกจากผู้ปฏิบัติงาน 3.ประเมินการใช้รูปแบบการแพทย์พหุวัฒนธรรม สำรวจแนวปฏิบัติที่สามารถทำได้จริงสอดคล้องกับต้นแบบที่ทางสจรสกำหนด 4.ตรวจเยี่ยมระบบริการที่คำนึงถึงมมิติทางวัฒนธรรม

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    ผลผลิต วัตถุประสงค์ที่ 1 เพื่อพัฒนาระบบบริการให้สอดคล้องกับพื้นที่พหุวัฒนธรรมชายแดนใต้ มีผลผลิตการดำเนินโครงการสอดคล้องกับแนวปฏิบัติต้นแบบที่แหล่งทุนมอบหมายให้ศึกษานำร่อง 1). มีระบบบริการสำหรับพระภิกษุสามเณร 2) โรงพยาบาลมีบริการอาหารฮาลาล/เจ/มังสวิรัติ 3) จุดให้นมแม่สำหรับมารดาที่มาตรวจตามนัด 4) มีสถานที่สำหรับการประกอบศาสนากิจสำหรับบุคลากร ผู้ป่วย และญาติอย่างเหมาะสม วัตถุประสงค์ที่ 2 เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการให้บริการด้านสาธารณสุข มีผลผลิต 1)บุคลากร ได้รับการอบรม เรื่อง การให้บริการสุขภาพที่สอดคล้องกับสังคมพหุวัฒนธรรม 2) แกนนำชุมชนมีความรู้ในเรื่อง “การดูแลมารดาและทารกหลังคลอดตามวิถีธรรม” 3) ผู้ดูแลได้รับการอบรมดูแลผู้ป่วยในช่วงรอมฎอน
    วัตถุประสงค์ที่ 3 เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ถูกต้องตามแนวทางศาสนา ได้แก่ เกิดกิจกรรมการสวดมนต์ใส่บาตรตามเตียง มีห้องพระบริการผู้ป่วยและญาติ เมื่อผู้ป่วยหนักมีพระมาบริการอ่านพระสูตร มีอาสาสมัครอ่านยาซีนสำหรับผู้ป่วยหนัก รณรงค์รับบริจาคและมีผ้าขาวแจกห่อศพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตชาวมุสลิม การรณรงค์ส่งเสริมสุขภาพเด็กผู้ชายมุสลิมระหว่างปิดภาคเรียนตามวิถีมุสลิมเด็กชายมุสลิมเข้าร่วมเกินเป้า ผลลัพธ์ 1. ไม่มีการตกเลือดของมารดาหลังคลอดที่อยู่ไฟ โรงพยาบาลสตูลเลือกประเด็นสุขภาพที่พบและเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญคืองานอนามัยแม่และเด็กมาขับเคลื่อนพบว่าการจัดบริการเชิงสุขภาพที่คำนึงถึงพหุวัฒนธรรมทำให้เกิดการดูแลมารดาหลังคลอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงที่ดำเนินการไม่มีมารดาตกเลือดจากการอยู่ไฟหลังคลอด 2. ไม่มีการติดเชื้อจากการทำสุหนัต .จากสถิติของโรงพยาบาลย้อนหลัง พบว่า มักพบผู้มารับบริการในพื้นที่มีการติดเชื้อภายหลังการเข้าสุหนัตเป็นประจำทุกปี แต่สถิติล่าสุดไม่พบผู้ติดเชื้อจากการเข้าสุหนัต 3. การจัดบริการสุขภาพในบริบทสังคมพหุวัฒนธรรมทำให้เกิดบรรยากาศองค์กรแห่งความสุข เพราะบุคลากรได้ทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเกิดความสุข ใช้หลักศาสนาในชีวิตประจำวัน รู้สึกมีคุณค่า เกิดทัศนเชิงบวกต่อการทำงานที่สามารถตอบโจทย์ทั้งการพัฒนางานประจำและขัดเกลาภายในตนเอง บ่มเพาะทัศนคติการดูแลผู้อื่นด้วยความเข้าใจ ความเมตตา 4. จำนวนประเด็นร้องเรียนที่ลดลง หรือหากมีการร้องเรียนสามารถจัดการปัญหาได้อย่างรวดเร็ว มีทีมงานผู้นำศาสนาคอยช่วยเหลือทำให้สถานการณ์สามารถควบคุมได้ ผลกระทบ 1. เชิงบวก เกิดความตื่นตัว เกิดกำลังใจจากทีมงานและภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานต่อไปในอนาคต เป็นบรรยากาศที่เอื้ออำนวยเพื่อมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาต่อไป 2. เชิงลบ การจัดบริการสุขภาพในบริบทพหุวัฒนาธรรมยังมีประเด็นที่ยังต้องออกแบบระบบที่แผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ผู้ป่วยมีความซับซ้อน กล่าวคือ ในภาวะเร่งด่วนแพทย์จำเป็นต้องให้การดูแลในภาวะวิกฤต แต่ญาติหรือผู้ใกล้ชิดอยากเข้ามาเยี่ยม การเข้าเยี่ยมที่จำนวนมากในพื้นที่จำกัด และภาวะเร่งด่วนในการทำงานเป็นประเด็นที่อ่อนไหวต่อความพึงพอใจของญาติ และการไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่อาจทำให้บุคลากรเกิดทัศนคติเชิงลบต่อความพยายามที่จะตอบสนองตามความเชื่อเชิงศาสนา หรือหลักศาสนาที่เชื่อว่าการเยี่ยมผู้ป่วยเป็นการปฏิบัติที่เป็นบุญ หากมาเยี่ยมในหอผู้ป่วยและรอเฝ้าไข้ทำให้ได้บุญ แต่จำนวนที่มาเฝ้าไข้ที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดความแออัด บรรยากาศโรงพยาบาลไม่เหมาะสำหรับการพักผ่อนของผู้ป่วยเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูสุขภาพกายและจิตของผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้ทางโรงพยาบาลสตูลได้ปรับปรุงระบบบริการโดยจัดให้มีพื้นที่สำรับญาติที่มาเฝ้าไข้ สามารถพักค้างคืน ทำให้ญาติมีบริเวณที่พักและได้พบปะแลกเปลี่ยนเกิดความพึงพอใจต่อบริการ  ในส่วนของแผนกฉุกเฉินการแก้ปัญหาอาจต้องเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างการรักษาในภาวะวิกฤต เพื่อให้ญาติหรือผู้มารอเยี่ยมทราบข้อมูลความเป็นไปเป็นระยะเพื่อลดความกังวล และกรณีไม่สามารถยื้อชีวิตได้ ต้องมีจุดที่เปิดโอกาสให้สามารถพบปะทำพิธีในวาระสุดท้ายตามความเชื่อและความต้องการตามที่เหมาะสม

     

    20 23

    11. ลงพื้นที่โรงพยาบาลรือเสาะ ครั้งที่2

    วันที่ 24 ธันวาคม 2561 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    การทำกิจกรรมทั้ง 2 ครั้ง ทีมงานดำเนินการคือ 1. เก็บข้อมูลการจัดบริการสุขภาพเชิงพหุวัฒนธรรมในโรงพยาบาลรือเสาะ  มีเก็บข้อมูลการจัดรูปแบบระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาล โดยใช้แบบสอบถาม และสนทนากลุ่มย่อยผู้ที่เกี่ยวข้อง มีการสังเกตบรรยากาศการปฏิบัติงานจริง 2. ติดตามผลการดำเนินงานระบบบริการสุขภาพใเชิงพหุวัฒนธรรมโรงพยาบาลรือเสาะที่แตกต่างครั้งที่ 1 และ 2 เพ่ือความครอบคลุม โดยในครั้งแรกผู้อำนวยการโรงพยาบาลเน้นการเยี่ยมกิจกรรมของชุมชนไทยพุทธบ้านไทยสุข ต.ลาโล๊ะ และสนทนาในกลุ่มผู้ปฏิบัติด้านสุขภาพในพื้นที่ได้แก่ แพทย์ เภสัชกร พยาบาลประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ทีมติดตามยังไม่เห็นภาพรวมการดำเนินการทั้งหมดของโรงพยาบาลจึงขอเข้าตรวจเยี่ยมติดตามครั้งที่ 2 ซึ่งในครั้งที่ 2 ได้เข้ารับฟังผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลและการขับเคลื่อนงานในชุมชนมุสลิม การประชุมและลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทำให้เห็นภาพสะท้อนภาพระบบงานนที่ทำจริง และทิศทางการขับเคลื่ือนที่จะดำเนินการ่อในอนาคต 3. สำรวจความต้องการขับเคลื่ือนงานในระดับชุมชนและระดับโรงพยาบาล ดำเนินการโดยการสนทนากับผู้อำนวยการโรงพยาบาล พยาบาลวิชาชีพประจำโรงพยาบาลส่งเสริสุขภาพระดับตำบล ผู้นำศาสนา แกนนำพื้นที่ ผู้รับบริการเป้าหมาย (กลุ่มต้องการเลิกบุหรี่ในชุมชนมุสลิม)

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    พื้นที่นำร่องจัดกิจกรรมถอดบทเรียนจำนวน 2 ครั้ง พบการนำรูปแบบการจัดบริการสุขภาพดำเนินงานจริง ทั้งในระดับโรงพยาบาลและระดับชุมชน ระบบบริการและการจัดสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาลค่อนข้างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามผลการจัดกิจกรรมมีความเป็นรูปธรรมเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดจากการขับเคลื่ือนในช่วงกิจกรรมที่ได้รับงบประมาณจากสสส.ผ่านสจรส.เท่านั้น แต่น่าจะเกิดจากความพยายามของโรงพยาบาลที่พัฒนาระบบบริการมาอย่างต่อเนื่ือง งบสนับสนุนครั้งนี้น่าจะมาช่วยหนุนเสริมกิจกรรมให้มีความชัดเจนมากขึ้น ภายหลังจากการขับเคลื่ือนระบบบริการในโรงพยาบาลมีผลที่น่าพอใจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจึงเริ่มขับเคลื่ือนการบริการที่คำนึงถึงมิติพหุวัฒนธรรมในชุมชน การดำเนินการเริ่มจากชุมชนบ้านไทสุขซึ่งเป็นชุมชนชาวพุทธก่อนเพราะเป็นชุมชนเข้มแข็ง มีความพร้อมกว่าชุมชนมุสลิม ต่อมาจึงเริ่มสร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนพุทธและมิสลิม ทำให้ชุมชนมุสลิมที่มีตัวชี้วัดสุขภาพไม่ผ่านเกณฑ์เริ่มตื่นตัว เกิดการเปรียบเทียบและหันมาริเริ่มทำกิจกรรมส่งเสริมสุขภพาตามวิถีอิสลาม ภาพในมิติใหญ่ที่พบในโรงพยาบาลคือการจัดระบบสุขภาพเพ่ือสันติภาพ เพราะชุมชนพุทธมุสลิมเกิดการปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น การกลับมาร่วมมือเพ่ือพัฒนาได้เริ่มอีกครั้ง อย่างไรก็ตามโรงพยาบาลรือเสาะยังต้องพยายามผลักดันการดูแลกลุ่มผู้ป่วยไทยพุทธในพื้นที่ซึ่งเป็นประชากร 5%.ให้มีพื้นที่องค์ประกอบเชิงกายภาพที่เอื้ออำนวยเช่นห้องพระ หรือกิจกรรมเชิงศาสนาภายในโรงพยาบาลเพ่ือความรู้สึกมีตัวตนในสังคมที่มีมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ การคุยนอกรอบวงประชุมทำให้พบว่ายังมีบุคลากรที่มีความคิดแบ่งแยก มีความขัดแย้ง การสร้างกระบวนการเพ่ือให้เกิดการยอมรับความเป็นพหุวัฒนธรรมยังมีความจำเป็นในบุคลากรโรงพยาบาล

     

    100 20

    12. ประชุมถอดบทเรียน

    วันที่ 15 มกราคม 2562 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    1.รับฟังการนำเสนอผลการดำเนินงานแต่ละโรงพยาบาล ในประเด็นกระบวนการกิจกรรม ผลการจัดกิจกรรม

    2.รับฟังการวิพากษ์จากผู้รับผิดชอบของศวสต.เพื่อปรับแก้งานก่อนนำเสนอแก่คณะทำงานสจรส.

    3.ปรับแก้เนื้อหารายงานสฉบับสมบูรณ์ (ดังเอกสารแนบ) 4.ให้ข้อเสนอเพ่ือการทำงานต่อยอดโดยสรุปดังนี้ 1) โรงพยาบาลสตูลเน้นการนำระบบวิจัยมาวิเคราะห์ผลเชิงบวกที่เกิดจากการขับเคลื่อนระบบบริการ 2) รพ.เทพา ขับเคลื่อนเป็นพื้นที่ต้นแบบและการสร้างความยั่งยืนและขยายไปสู่หน้างานในส่วนอื่น ๆ 3) รพ.ธารโตสร้างคนธารโตรุ่นใหม่ 4.รพ.รือเสาะเน้นการขับเคลื่ือนพหุวัฒนธรรมเพ่ือสันติภาพ และ5) รพ.ยะหริ่ง เน้นการนำพหุวัฒนธรรมมาใช้เพ่ือแก้ปัญหาแม่และเด็ก

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    ผลผลิต การจัดประชุม 2 วันเกิดข้อมูลบทเรียนจากการทำงานภายใต้โครงการถอดบทเรียนการนำแนวทางการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมในพื้นที่5จังหวัดชายแดนใต้ มีการพบปะแลกเปลี่ยนเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการทำงาน

     

    10 15

    13. พัฒนาแนวทางการแพทย์พหุวัฒนธรรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะในผู้รับบริการ

    วันที่ 8 พฤษภาคม 2562 เวลา 09:00 น.

    กิจกรรมที่ทำ

    แลกเปลี่ยนผลการถอดบทเรียนกับนักปฏิบัติการพื้นที่ที่สนใจ

    ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

    เครือข่ายโรงพยาบาลเห้นความสำคัญของการนำระบบบริการที่คำนึงถึงพหุวัฒนธรรม และอยากให้มีการพัฒนาสมรรถนะเชิงวัฒนธรรมเพ่ือลดความขัดแย้งในองค์กร

     

    100 0

    * ผลผลิต หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นเชิงปริมาณจากการทำกิจกรรม เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม จำนวนผู้ผ่านการอบรม จำนวนครัวเรือนที่ปลูกผักสวนครัว เป็นต้น
    ** ผลลัพธ์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การแก้ปัญหา เช่น หลังอบรมมีผู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจำนวนกี่คน มีข้อบังคับหรือมาตรการของชุมชนที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อม เป็นต้น ทั้งนี้ต้องมีข้อมูลอ้างอิงประกอบการรายงาน เช่น ข้อมูลรายชื่อแกนนำ , แบบสรุปการประเมินความรู้ , รูปภาพกิจกรรมพร้อมคำอธิบายใต้ภาพ เป็นต้น


    ส่วนที่ 2 ประเมินความพึงพอใจต่อความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการในภาพรวม

    ผลการดำเนินโครงการ

    สรุปผลการดำเนินโครงการ

    ผลการดำเนินโครงการ/กิจกรรม:
    บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
    บรรลุตามวัตถุประสงค์บางส่วนของโครงการ
    ไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ

     

    ผลผลิตโครงการ

    วัตถุประสงค์สถานการณ์เป้าหมายผลผลิตอธิบาย
    1 ถอดบทเรียนรู้การใช้รูปแบบการแพทย์พหุวัฒนธรรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะ
    ตัวชี้วัด : แนวทางการสร้างเสริมสุขภาวะ และเครื่องมือในการประเมินการแพทย์พหุวัฒนธรรม

     

    ผู้เข้าร่วมโครงการ

    กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้(คน)จำนวนที่เข้าร่วม(คน)
    จำนวนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด
    กลุ่มเป้าหมายจำนวนที่วางไว้(คน)จำนวนที่เข้าร่วม(คน)

    บทคัดย่อ*

    โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ถอดบทเรียนรู้การใช้รูปแบบการแพทย์พหุวัฒนธรรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะ

    ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่

    ข้อเสนอแนะ ได้แก่ (1) ...

    หมายเหตุ *

    • บทคัดย่อ จะนำไปใส่ในส่วนบทคัดย่อของรายงานฉบับสมบูรณ์
    • หากต้องการใช้ค่าเริ่มต้นของบทคัดย่อ ให้ลบข้อความในช่องบทคัดย่อ ทั้งหมด แล้วกดปุ่ม Refresh

    ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ

    ปัญหาและอุปสรรคสาเหตุข้อเสนอแนะ

     

     

     


    โครงการถอดบทเรียนการนำแนวทางการจัดบริการสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมไปปฏิบัติในพื้นที่ 5 จังหวัดชาดแดนใต้ จังหวัด

    รหัสโครงการ -

    ได้ดำเนินกิจกรรมตามที่เสนอไว้เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

    ................................
    ( ผศ.ดร.ปรียา แก้วพิมล )
    ผู้รับผิดชอบโครงการ
    ......./............/.......

    vertical_align_topไปบนสุด