ข้อมูลพื้นฐาน
บ้านยอดแกง ตำบลยอดแกง อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ อยู่ห่างจากอำเภอนามน 9 กิโลเมตร และห่างจากจังหวัดกาฬสินธุ์ 33 กิโลเมตร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดกาฬสินธุ์ แบ่งการปกครองเป็น หมู่ 1 และหมู่ 2 มีครัวเรือนจำนวน 277 ครัวเรือน มีประชากรทั้งสิ้น 1,042 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น อ้อย และมันสำปะหลัง ซึ่งมีการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืชและป้องกันศัตรูพืชจำนวนมาก (องค์การบริหารส่วนตำบลยอดแกง, 2562) ก่อให้เกิดมลพิษ ส่งผลให้มีปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนในชุมชนข้อมูลศักยภาพ/ทรัพยากร
พื้นที่ ตำบลยอดแกง อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร เหมาะแก่การเกษตรกรรมและหากส่งเสริมให้มุ่งเน้นและส่งเสริมการปลูกสมุนไพร สร้างความตระหนักเพื่อลด ละ เลิก การใช้สารเคมี เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำเกษตรแบบเดิมนำไปสู่เกษตรอินทรีย์ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งเป็นการส่งเสริมและสร้างมาตรฐานวัตถุดิบสมุนไพรในพื้นที่ (ต้นน้ำ) การแปรรรูปวัตถุดิบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (กลางน้ำ) และสร้างช่องทางในการจัดจำหน่าย (ปลายน้ำ)ต่อไป นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีในด้านต่างๆ ได้แก่ รายได้ดี สุขภาพดี สิ่งแวดล้อมดี คุณธรรมดี อย่างยั่งยืนข้อมูลประเด็นปัญหา
ประชาชนโดยส่วนใหญ่ในพื้นที่บ้านยอดแกง ตำบลยอดแกง อำเภอนาคู จังหวัดกาฬสินธุ์มีอาชีพเกษตรกรรม มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและวัชพืชควบคู่กันไปด้วย เมื่อลงพื้นที่สอบถามข้อมูลเบื้องต้น พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ที่ใช้สารเคมี ให้เหตุผลว่า หาซื้อง่าย ไม่ต้องใช้แรงงานมาก ให้ผลเร็ว มองประโยชน์ระยะสั้นมากกว่า โดยให้ความสำคัญน้อยมากเกี่ยวกับความปลอดภัยจากสารเคมีที่จะส่งต่อไปยังผู้บริโภคและตัวเกษตรกรเอง ดังนั้นจึงมีแนวความคิดว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักเพื่อลด ละ เลิก การใช้สารเคมี เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำเกษตรแบบเดิมนำไปสู่เกษตรอินทรีย์ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นและส่งเสริมการปลูกสมุนไพรซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทสมุนไพรแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2564) ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย “เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพและความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย” โดยคนในชมชุมมีส่วนร่วมในการกำหนดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังกล่าวตามหลักเกษตรอินทรีย์และเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ 1) ด้านสุขภาพ : เกษตรอินทรีย์ควรจะต้องส่งเสริมและสร้างความยั่งยืนให้กับสุขภาพอย่างเป็นองค์รวมของดิน พืช สัตว์ มนุษย์ และโลก 2) ด้านนิเวศวิทยา: เกษตรอินทรีย์ควรจะต้องตั้งอยู่บนรากฐานของระบบนิเวศวิทยาและวัฐจักรแห่งธรรมชาติ การผลิตการเกษตรจะต้องสอดคล้องกับวิถีแห่งธรรมชาติ และช่วยทำให้ระบบและวัฐจักรธรรมชาติเพิ่มพูนและยั่งยืนมากขึ้น 3) ด้านความเป็นธรรม: เกษตรอินทรีย์ควรจะตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ที่มีความเป็นธรรมระหว่างสิ่งแวดล้อมโดยรวมและสิ่งมีชีวิต 4) ด้านการดูแลเอาใจใส่: การบริหารจัดการเกษตรอินทรีย์ควรจะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและรับผิดชอบ เพื่อปกป้องสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คนทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งพิทักษ์ปกป้องสภาพแวดล้อมโดยรวมด้วย เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง เกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่างแท้จริงข้อมูลความต้องการเชิงพื้นที่
นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี 4 ด้าน ได้แก่ 1) รายได้ดี: เกษตรกรเป็นเกษตรกรเชิงประณีต ปลอดสารพิษ และเข้าถึงแหล่งจัดจำหน่าย สร้างรายได้ลดรายจ่ายและอยู่อย่างพอเพียง 2) สุขภาพดี: เกษตรกรตระหนักในการดูแลสุขภาพ ลดความเสี่ยงจากการรับสารเคมี อันก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) ซึ่งสอดคล้องกับรายงานสถาณการโรค (สำนักงานสาธารณสุข) พบว่าประชาชนมีอัตราความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) สูง ซึ่งมีผลโดยตรงจากการทำงานของตับและไต จากการได้รับสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย จึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่ต้นน้ำของอาหาร 3) สิ่งแวดล้อมดี: สภาพของดินและน้ำในพื้นที่ เหมาะแก่การอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต 4) คุณธรรมดี: เกษตรกรต้นน้ำ คำนึงถึงคุณภาพของผลผลิตและใส่ใจผู้บริโภค อย่างยั่งยืนรูปแบบ(Model)การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แบบการมีส่วนร่วม มีองค์ประกอบ คือ 1. รายได้ดี 2.สุขภาพดี 3.สิ่งแวดล้อมดี 4.คุณธรรมดี มีกระบวนการดังนี้
1. สร้างความตระหนักรู้ถึงพิษภัยของสารเคมีทางการเกษตรที่มีต่อร่างกาย ด้วยการตรวจหาค่าคลอรีนเอสเตอเรส และทางด้านสิ่งแวดล้อมโดยการตรวจสารตกค้างในดินและน้ำในพื้นที่
2. ให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ แบบ ห่วงโซ่อุปทาน
3. สร้างกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็ง
4. โรงเรือนแบบใช้น้ำน้อยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้สร้างปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้ครอบคลุมหลายๆ เรื่อง ได้แก่ การจัดการดิน การจัดการน้ำ การเกษตรแปรรูป พลังงานทางเลือก สิ่งแวดล้อมชุมชน การปลูกป่า ปลูกต้นไม้ ปลูกพืชผักสวนครัว เป็นต้น ทรงชี้แนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ปวงชนชาวไทยตลอดพระชนชีพ มุ่งให้พสกนิกรได้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน มั่นคง และปลอดภัย ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามกระแสโลกาภิวัฒน์ เป็นแนวทางการดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ โดยยึดแนวทางการพัฒนาที่มีคนหรือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะเป็นตัวการที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ความพอเพียงในระดับประเทศ เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า
เกษตรอินทรีย์ คือการทำการเกษตรด้วยหลักธรรมชาติ บนพื้นที่การเกษตรที่ไม่มีสารพิษตกค้างและหลีกเลี่ยงจากการปนเปื้อนของสารเคมีทางดิน ทางน้ำ และทางอากาศเพื่อส่งเสริมความอุดสมสมบูรณ์ของดินความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศน์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้กลับคืนสู่สมดุลธรรมชาติโดยไม่ใช้สารเคมี เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ก่อให้เกิดความพอเพียงระดับชุมชนและสอดคล้องกับความพอเพียงตามหลักแห่งศาสตร์พระราชา ซึ่งสามารถสร้างความเข้มแข็งต่อชุมชนและประเทศต่อไปได้
การบูรณาการเกษตรอินทรีย์กับวิถีชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยการนำนักศึกษาหลากหลายสาขาลงพื้นที่แล้วใช้รูปแบบการพัฒนาหมู่บ้านแบบมีส่วนร่วมของชุมชน หาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องรายได้ เรื่องสุขภาพ เพื่อก่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง มีการพัฒนาที่ยั่งยืน และก้าวไปสู่ประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) อีกทั้งสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อร่วมมือกันสร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มและส่วนรวมบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกัน การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามกำลังและความสามารถของตนซึ่งจะสามารถทำให้ ชุมชนโดยรวม เกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่างแท้จริง โดยใช้รูปแบบ(Model)การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แบบการมีส่วนร่วม มีองค์ประกอบ คือ 1. รายได้ดี 2.สุขภาพดี 3.สิ่งแวดล้อมดี 4.คุณธรรมดี มีกระบวนการดังนี้
1. สร้างความตระหนักรู้ถึงพิษภัยของสารเคมีทางการเกษตรที่มีต่อร่างกาย ด้วยการตรวจหาค่าคลอรีนเอสเตอเรส และทางด้านสิ่งแวดล้อมโดยการตรวจสารตกค้างในดินและน้ำในพื้นที่
2. ให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ แบบ ห่วงโซ่อุปทาน
3. สร้างกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็ง
นำเข้าสู่ระบบโดย
rujikarn เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 09:59 น.