สถาบันนโยบายสาธารณะ (สนส. ม.อ.)

directions_run

การดำเนินงานขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ในจังหวัดยะลา

แบบการติดตามประเมินผลการดำเนินกิจกรรมของโครงการ (Process Evaluation)

กิจกรรมระยะเวลาเป้าหมาย/วิธีการผลการดำเนินงานปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
ตามแผนปฏิบัติจริงตามแผนปฏิบัติจริงตามแผนปฏิบัติจริง
1. ขับเคลื่อนรูปแบบเกษตรกรรมยั่งยืนให้เกิด การขยายผลในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ชายแดนเพื่อนําไปสู้การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ 1 พ.ย. 2566

 

 

 

 

 

2. พัฒนาฐานข้อมูลและแผนภาพอาหารทั้ง 4 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพื่อใช้บูรณาการทํางานระบบอาหารและโภชนาการ และสื่อสารสู่สาธารณะ 1 พ.ย. 2566

 

 

 

 

 

1.2 ทีมนักวิชาการออกแบบหลักสูตรเกษตรกรรมยั่งยืนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ จากเกษตรกร 10 แห่ง และออกแบบเครื่องมือประเมินความมั่นคงทางอาหาร ระดับครัวเรือน (นำไปใช้ประเมินกลุ่มเป้าหมาย 200 คน) 1 พ.ย. 2566

 

 

 

 

 

2.1 ทีมนักวิชาการออกแบบเครื่องมือ จัดทำชุดแผนภาพอาหาร ใน 4 จังหวัด สงขลา ปัตตานี ยะลาและ นราธิวาส 1 พ.ย. 2566

 

 

 

 

 

3. พัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อส่งเสริมบริโภคอาหารเพื่อสุข ภาวะ/ระบบอาหารที่ยั่งยืน โดยกลไกกลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน (จังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) กลไกผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กลไกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

4. กิจกรรมการสื่อสารสาธารณะและการสื่อสารเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

5. การติดตามประเมินผลภายนอก 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

1.1 การประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความร่วมมือการยกระดับต้นแบบการทำเกษตรกรรมยั่งยืนในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

1.3 สนส. และทีมวิชาการสร้างปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ทั้ง 10 แห่งให้มีความพร้อมเป็นจุดถ่ายทอดการทำเกษตรกรรมยั่งยืน การเป็นทีมวิทยากร 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

2.2 เก็บข้อมูลตามแบบเครื่องมือ 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

3.1 ประชุมทีมคณะเศรษฐศาสตร์มอ. เพื่อวางแผนประเมินโครงการที่อยู่ในแผนพัฒนากลุ่มจังหวักภาคใต้ชายแดน และแผนของอบจ. แผนปี 65และ66 เพื่อประเมินถึงความคุ้มค่าในมิติทางด้านเศรษฐกิจและสังคม 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

3.4 การประชุมกำหนดวาระนโยบายเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร นโยบายการแก้ปัญหาโภชนาการเด็ก ให้อยู่ในแผนของกลุ่มจังหวัดและอบจ. ปัตตานี 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

4.1 ประสานกับวิทยุมอ.88 หาดใหญ่ มอ.ปัตตานี เอามาออกแบบการพัฒนาประเด็นสื่อสาร ข้อเสนอเชิงนโยบายความมั่นคงทางอาหาร การทำเกษตรกรรมยั่งยืน ตลาดสีเขียวในชุมชน อาหารปลอดภัย นโยบายแก้ปัญหาด้านโภชนาการ เช่นเด็กเตี้ย เด็กผอม 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

5.1. ติดตามประเมินผลภายในโครงการ เพื่อติดตามความก้าวหน้าตามตัวชี้วัดและให้ข้อเสนอแนะต่อผู้รับผิดชอบโครงการรวมทั้งช่วยประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เช่นค่าใช้จ่ายงบประมาณในแต่ละกิจกรรม กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลประโยชน์ 1 ธ.ค. 2566

 

 

 

 

 

6. นําเสนอระบบ/กลไกเฝ้าระวังอาหารปลอดภัย ให้กับผู้บริหารหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากําหนดเป็นนโยบาย 1 ม.ค. 2567

 

 

 

 

 

1.4 จัด workshop ให้เกษตรกร 200 คน ในพื้นที่แปลงเรียนรู้ของเกษตรกรต้นแบบ พร้อมกับประเมินความมั่นคงทางอาหาร ของกลุ่มเป้าหมาย 200 คน 1 ม.ค. 2567

 

 

 

 

 

3.2 ทีมนักวิชาการลงพื้นที่ประเมินโครงการ 1 ม.ค. 2567

 

 

 

 

 

6.1 การจัดประชุมนำเสนอรูปแบบของกลไกคณะทำงานอาหารปลอดภัยยะลา และนำเสนอรูปแบบให้กับผู้บริหารนครยะลา เพื่อให้เทศบาลนครยะลาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 1 ม.ค. 2567

 

 

 

 

 

2.3 ออกแบบโปรแกรมระบบฐานข้อมูลแผนภาพอาหาร และบันทึกข้อมูล 1 ก.พ. 2567

 

 

 

 

 

3.3 นักวิชาการนำผลการประเมินคืนให้กับส่วนราชการที่ดำเนินโครงการ พร้อมกับworkshop การยกระดับการทำแผนงานโครงการที่ตอบความคุ้มค่าในมิติเศรษฐกิจและสังคม 1 มี.ค. 2567

 

 

 

 

 

1.6 เดือน ก.ค.ประเมินความมั่นคงทางอาหารในครัวเรือน เกษตรกร 200 คน (ประเมินหลังการเข้าร่วมกิจกรรม) 1 พ.ค. 2567

 

 

 

 

 

2.4 มีการประชุมเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง 4 จังหวัดให้เกิดการนำโปรแกรมระบบฐานข้อมูลแผนภาพอาหารไปใช่ออกแบบโครงการที่เกี่ยวกับความมั่นคงอาหาร หรือตลาด หรือการเชื่อมเครือข่าย หรือการจัดการความรู้ 1 พ.ค. 2567

 

 

 

 

 

4.2 จัดเวทีนโยบายในพื้นที่(คลายๆ Thai pbs) 1 พ.ค. 2567

 

 

 

 

 

7. การพัฒนาชุดความรู้ แนวทางปฏิบัติ และคู่มือ Model เกษตรกรรมยั่งยืนใน สวนยางพารา ขยายผลกับการยางแห่งประเทศไทยสามจังหวัดภาคใต้ชายแดน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1 มิ.ย. 2567

 

 

 

 

 

7.1 นักวิชาการลงพื้นที่ ประเมินแหล่งเรียนรู้ทั้ง 10 แห่ง ถอดบทเรียนการเป็นแหล่งเรียนรู้ และจัดทำ model แหล่งเรียนรู้ฯ จัดทำเป็นแนวทางปฏิบัติการทำเกษตรกรรมยั่งยืนในสวนยางพารา 1 มิ.ย. 2567

 

 

 

 

 

7.2 จัดประชุมแลกเปลี่ยนการทำเกษตรกรรมยั่งยืน ในรูปแบบการจัดประชุมวิชาการ หรือการจัดสมัชชาเรื่องสวนยางยั่งยืน ทั้ง onsite และ online 1 ส.ค. 2567

 

 

 

 

 

1.5 ระบบติดตามสนับสนุนให้คำปรึกษาการทำเกษตรกรรมยั่งยืน (กลุ่มไลน์) ให้กับแหล่งเรียนรู้ทั้ง 10 แห่ง และแกนนำเกษตรกร 200 คน 1 ต.ค. 2567

 

 

 

 

 

จัดทำสารคดี รูปแบบเกษตรผสมผสาน กรณีศึกษา ทศพล รุ่งเรืองใบหยก 13 พ.ย. 2567 13 พ.ย. 2567

 

ถ่ายทำสารคดี....สัมภาษณ์ผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทยสาขาเบตงนายสะอุเซ็ง สาแม ประเด็นการให้การสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่และเกษตรกรต้นแบบ ถ่ายทำสารคดี ...สัมภาษณ์เกษตรกรต้นแบบคุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก ถ่ายทำสารคดี... สัมภาษณ์ร้านต้าเหยินซึ่งใช้วัตถุดิบบางส่วนจากเกษตรกรต้นแบบและเกษตรกรในพื้นที่

 

ถ่ายทำสารคดี... การยางแห่งประเทศไทยสาขาเบตง ผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทยสาขาเบตง นายสะอุเซ็ง สาแมง

ถ่ายทำสารคดี... ร้านต้าเหยิน (กิตติ) เป็นร้านอาหารจีนเก่าแก่ของเบตง สืบทอดรสชาติอาหารจากรุ่นสู่รุ่น โดยยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าใครที่มาเยือนเมืองเบตงจะต้องเข้ามาลิ้มชิมรสอาหารจีนขึ้นชื่อของเบตงที่ร้านนี้ อาทิเช่น ไก่สับเบตง เคาหยก ปลาจีนนึ่งบ๊วย แกงจืดลูกชิ้นแคะ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งร้านสาขาดั้งเดิมตั้งอยู่ที่ 253 ถ.สุขยางค์ ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ย่านการค้า บริเวณใกล้กับหอนาฬิกาเบตง ร้านต้าเหยินใช้วัดวัตถุดิบส่วนใหญ่จากเกษตรกรในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นไก่เบตงไก่ 9 ชั่งปลาทับทิม ถั่วงู หรือแม้กระทั่งน้ำผลไม้เสาวรสใบบัวบกน้ำลูกเดือยน้ำตะไคร้ก็ล้วนใช้ผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่เพื่อการส่งเสริมเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยไก่เบตง ปลาส่วนหนึ่งจะนำมาจากสวนของคุณทศพลที่เป็นเกษตรกรต้นแบบ เพราะเชื่อเชื่อถือได้ว่าปลอดสารแน่นอนการนำอาหารมาผลิตให้กับผู้บริโภคทางร้านต้าเหยินมองถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญเพราะฉะนั้นเกษตรกรที่ร้านต้าเหยินเลือกนำวัตถุดิบมาใช้นั้นก็จะต้องเป็นเกษตรกรที่ไม่ใช้สารเคมีในผลผลิต

ถ่ายทำสารคดี....เกษตรกรต้นแบบคุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก

 

โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส 10 ส.ค. 2567 10 ส.ค. 2567

 

โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่ สวนคุณเจริญ

 

แลกเปลี่ยนความรู้ในการปลูกพืชสวนผสม

สวนคุณเจริญ บทสัมภาษณ์คุณเจริญ เวชวัฒนาเศรษฐ “ครูถั่ว” คนกล้าคืนถิ่น และ ผู้แทนคนกรีดยาง ตัวแทนใน คกก.นโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ประสานความร่วมมือร่วมสร้างเปิดโอกาสให้คนไทยได้ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงพัฒนาคนรุ่นใหม่ สร้าง SME ที่พึ่งตนเองได้ด้วยวิถีเกษตรเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

การปลูกยาง เบตง เทคนิค วิธีการ
การปลูกยางในเบตงมีความสำคัญและมีลักษณะเฉพาะที่ควรพิจารณา ดังนี้: การเลือกพันธุ์: พันธุ์ยางที่ใช้ในเบตงมักจะเป็นพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและดินในพื้นที่ เช่น พันธุ์ไทยแท้และพันธุ์จากมาเลเซีย เทคนิคการปลูก: การปลูกยางต้องใช้เทคนิคที่เหมาะสม เช่น การเตรียมดิน การปลูกในระยะที่เหมาะสม และการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง การปลูกยางแถวเดียวควบคู่ไปกับการปูลไม้ป่า เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิต โดยมีข้อแนะนำดังนี้:
1. การปลูกแถวเดียวสามารถทำให้ได้ประมาณ 20 ต้นต่อพื้นที่ที่กำหนด 2. ควรปลูกให้ห่างกันประมาณ 2 เมตร เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต 3. การจัดการพื้นที่ปลูกให้มีการแบ่งช่องจะช่วยเพิ่มพื้นที่ปลูกไม้ได้มากขึ้น 4. การปลูกในระยะห่างที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหาการแข่งขันระหว่างต้นไม้ 5. การปลูกยางแถวเดียวเสริมไม้ป่าจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเพิ่มผลผลิตและการจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ การปลูกยางแซมไม้ป่าเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่ โดยมีข้อแนะนำ: 1. การปลูกยางควรทำในระยะห่างที่เหมาะสมกับไม้ป่า เพื่อไม่ให้เกิดการแข่งขันในเรื่องของแสงและสารอาหาร 2. การปลูกแถวเดียวระหว่างต้นยางและไม้ป่าสามารถช่วยให้พื้นที่มีการใช้ประโยชน์สูงสุด 3. การจัดการพื้นที่ปลูกให้มีการแบ่งช่องจะช่วยเพิ่มพื้นที่ปลูกไม้ได้มากขึ้น 4. การปลูกไม้ป่าร่วมกับยางสามารถช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นของดินและลดการกัดเซาะ 5. การปลูกยางแซมไม้ป่าจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการจัดการพื้นที่เกษตรกรรมอย่างยั่งยืน การปลูกยาง 40 ต้นต่อไร่เป็นวิธีที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีข้อแนะนำดังนี้: 1. ควรปลูกให้ห่างกันประมาณ 2 เมตร เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต 2. การจัดการพื้นที่ปลูกให้มีการแบ่งช่องจะช่วยเพิ่มพื้นที่ปลูกไม้ได้มากขึ้น 3. การปลูกในระยะห่างที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหาการแข่งขันระหว่างต้นไม้ 4. การปลูกในรูปแบบนี้สามารถทำให้ได้ประมาณ 40 ต้นต่อไร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น 5. การปลูกยางในจำนวนที่เหมาะสมจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการจัดการพื้นที่เกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ


เทคนิคการกรีด: ใช้มีดกรีดที่มีความคมและกรีดในมุมที่เหมาะสม โดยควรกรีดให้ลึกพอสมควรเพื่อให้ยางไหลออกมาได้ดี การดูแลรักษาต้นยาง: หลังการกรีดควรดูแลรักษาต้นยางให้ดี เช่น การให้ปุ๋ยและน้ำ เพื่อให้ต้นยางมีสุขภาพดีและสามารถผลิตยางได้ต่อเนื่อง การใช้เทคนิคเหล่านี้จะช่วยเพิ่มผลผลิตยางและคุณภาพของยางพาราได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล้ายางพันธุ์ไทยแท้: มีคุณสมบัติความเหมาะสมกับสภาพอากาศ มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศและดินในประเทศไทยได้ดี ให้ผลผลิตยางที่มีคุณภาพสูงและมีปริมาณมากเมื่อได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม มีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืชได้ดีกว่าพันธุ์อื่นๆ ข้อเปรียบเทียบระหว่างพื้นที่ที่เจริญกับพื้นที่ที่ไม่เจริญมีความสำคัญอย่างไร: โอการในการพัฒนาเศรษฐกิจ: พื้นที่ที่เจริญมักมีโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า เช่น การเข้าถึงตลาด การลงทุน และการสร้างงาน การศึกษาและการเข้าถึงบริการ: พื้นที่ที่เจริญมักมีการศึกษาและบริการสาธารณะที่ดีกว่า เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และบริการสาธารณะอื่นๆ คุณภาพชีวิต: การเปรียบเทียบช่วยให้เห็นความแตกต่างในคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่ดี สาธารณูปโภค และสิ่งแวดล้อมที่ดี การวางแผนและนโยบาย: ข้อมูลจากการเปรียบเทียบสามารถใช้ในการวางแผนพัฒนาพื้นที่ที่ไม่เจริญให้มีการเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน การวิเคราะห์ความแตกต่างนี้ช่วยให้เข้าใจถึงปัญหาและโอกาสในการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น คุณเจริญได้มีโอกาสศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชการที่ 9 เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีหลักการสำคัญดังนี้: 1. การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ฟุ่มเฟือย 2. การสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและการพึ่งพาตนเอง 3. การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม 4. การส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะในชุมชน 5. เศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน

 

โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่ 11 ส.ค. 2567 11 ส.ค. 2567

 

โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่

 

โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่ สวนคุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก บทสัมภาษณ์ คุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก เกษตรกรรุ่นใหม่ผู้เปลี่ยนผ่านจากรุ่นพ่อมาสู่รุ่นลูก เป็นต้นแบบเกษตรกรชาวสวนยางเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบยั่งยืน อายุ 39 ปี เป็นเลขานุการของสหกรณ์ ต.ตาเนาะแมเราะ เลขานุการของเครือข่ายเบตง และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาชุมชนและการเกษตรในพื้นที่

จุดเด่นหลักของการเกษตรในพื้นที่เบตง คือ การปลูกยางและการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งถือเป็นจุดขายที่สำคัญที่ทำให้พื้นที่นี้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ เหมาะสม เช่น น้ำ ลำธารและภูมิอากาศที่เอื้อต่อการเกษตร นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนผ่านความรู้จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก ทำให้เกษตรกรรุ่นใหม่มีทักษะและความรู้ในการผลิตที่สูงขึ้น
โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่ ที่สวนคุณทศพล มีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพอาหารและการผลิตที่ยั่งยืน โดยเน้นการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและการสร้างความรู้ใหม่ในด้านการเกษตร เช่น การปลูกยางและการทำปศุสัตว์ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการทำฟาร์มที่หลากหลาย เช่น การเลี้ยงปลาและการปลูกพืชเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดความหลากหลายและลดความเสี่ยงในการผลิต การทำฟาร์มของทศพล มีความเป็นมาที่น่าสนใจ โดยทศพลเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ที่รับไม้ต่อจากรุ่นพ่อ ซึ่งมีการเปลี่ยนผ่านความรู้และทรัพยากรอย่างครบถ้วน ฟาร์มนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 50 ไร่ แบ่งเป็นสวนยาง 20 ไร่ และยังมีการปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น ทุเรียนและมังคุด รวมถึงการเลี้ยงปลาและปศุสัตว์เพื่อสร้างความหลากหลายในการผลิต
บ่อปลาเลี้ยงปลา มีการเลี้ยงปลาหลายชนิด เช่น ปลาดุก ปลาจีนและปลาพวงชมพู ปลาคู่เมืองยะลาแต่เป็นปลาขี้ตกใจ โดยปลาพวงชมพูเป็นที่นิยมเนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีคอลลาเจนมาก ซึ่งทำให้สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ทอดหรือนึ่ง ปัจจุบันตลาดรับซื้อปลาพวงชมพูอยู่ที่ประมาณ 3,000-3,500 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับคุณภาพและขนาดของปลา ส่วนราคารับซื้อปลาจีนในตลาดปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 260 บาทต่อกิโลกรัม บ่อปลามีการจัดการน้ำที่เหมาะสมเพื่อให้ปลามีการเจริญเติบโตที่ดี นอกจากนี้คุณทศพลยังมีการเลี้ยงไก่ในรูปแบบที่หลากหลายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับฟาร์มของเขา โดยการเลี้ยงไก่ไข่เป็นส่วนหนึ่งของการทำเกษตรกรรมที่มีความยั่งยืนและสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัว การขึ้นทะเบียน GI (Geographical Indication) ของเกษตรผสมผสาน เป็นกระบวนการที่ช่วยรับรองผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเฉพาะจากพื้นที่หนึ่ง ๆ โดยเฉพาะในกรณีของผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ปลาพวงชมพู การขึ้นทะเบียน GI จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยนายกรัฐมนตรีได้มีการรณรงค์เพื่อส่งเสริมการขึ้นทะเบียน GI สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในพื้นที่ ค่าอาหารไก่และอาหารปลาที่สูงขึ้น เป็นปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญในปัจจุบัน เมื่อค่าอาหารไก่มีราคาแพงขึ้น ค่าอาหารปลาก็มีราคาสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตและต้นทุนของเกษตรกรทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและขอเพิ่มราคาเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของค่าอาหารนี้ทำให้ผู้ประกอบการต้องใช้ความอดทนและการบริหารจัดการที่ดีขึ้นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด สรุปจุดเด่นของเกษตรกรรุ่นใหม่ ฐานทรัพยากรที่ดี: เกษตรกรรุ่นใหม่มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ดี เช่น สภาพความชื้นและคุณภาพของดินที่เหมาะสมสำหรับการเกษตร การบริหารจัดการที่ดี: เกษตรกรรุ่นใหม่มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ดี ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยี: มีแนวโน้มที่จะใช้เทคโนโลยีและสื่อออนไลน์ในการพัฒนาการเกษตรและการตลาด โดยรวมแล้ว เกษตรกรรุ่นใหม่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองและการเกษตรให้มีความยั่งยืนและตอบโจทย์ตลาดได้

 

โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่ 11 ส.ค. 2567 11 ส.ค. 2567

 

โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่ สวนมังคุดในสายหมอก นายสุขสรรค์ วุฒิพิทักษ์ศักดิ์

 

โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาพตลอดห่วงโซ่ สวนมังคุดในสายหมอก นายสุขสรรค์ วุฒิพิทักษ์ศักดิ์ บทสัมภาษณ์คุณสุขสรรค์ วุฒิพิทักษ์ศักดิ์ เลขานุการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มมังคุดทุเรียนอินทรีย์ อ.เบตง เริ่มทำเกษตรตั้งแต่ปี 2554 หลังจากที่เขาทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ประมาณปีครึ่ง และต้องกลับมาดูแลพ่อที่ป่วยเป็นโรคความดัน ไม่มีใครดูแล เขาจึงตัดสินใจผันตัวกลับมาทำเกษตรในช่วงเวลานั้น ทำเกษตรเกี่ยวกับผลไม้หลักๆ ได้แก่: มังคุด ทุเรียน ลองกอง ในช่วงเริ่มต้นทำเกษตร คุณสุขสันต์เผชิญกับปัญหาหลายอย่าง ทั้งผลผลิตไม่สวยและไม่ตรงตามมาตรฐาน ทำให้ขายได้ในราคาต่ำ การดูแลผลไม้ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ ราคาผลไม้ในตลาดต่ำ ทำให้ขาดรายได้ จึงแก้ปัญหาโดยรวมกลุ่มมังคุดแปลงใหญ่น้ำทิพย์ กับเกษตรกรคนอื่นๆ เพื่อศึกษาและพัฒนาคุณภาพของมังคุด เรียนรู้วิธีการปลูกและดูแลที่มีประสิทธิภาพ และปรับปรุงวิธีการดูแลผลไม้ให้ดีขึ้น เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้น การรวมกลุ่มนี้ช่วยให้เขาได้รับความรู้และเทคนิคใหม่ๆ ผลผลิตจึงมีคุณภาพดีขึ้น อีกทั้งศึกษาและเรียนรู้จากการไปเยี่ยมชมแปลงเกษตรที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่อื่นๆ เช่น ชุมพร การเรียนรู้จากแหล่งเหล่านี้ช่วยให้สามารถปรับปรุงวิธีการทำเกษตรของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันคุณสุขสรรค์มีพื้นที่ปลูกมังคุดอินทรีย์ จำนวนทั้งหมด 8 ไร่ รวมจำนวนต้นทั้งหมด 155 ต้น อ.เบตง มีการใช้สารเคมีน้อยมากจึงทำให้เกิดแนวความคิดการรวมกลุ่มทำมังคุดอินทรีย์ขึ้นเพื่อที่จะยกระดับคุณภาพ และราคาของมังคุดในพื้นที่ อ.เบตง ให้มีราคาสูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งลักษณะเด่นของมังคุดอินทรีย์เบตง คือ ลูกใหญ่ ผิวมันวาว รสชาติหวานติดเปรี้ยวนิดๆ เทคนิคการปลูก ปัจจุบันในวิสาหกิจชุมชนกลุ่มมังคุดทุเรียนอินทรีย์ ได้มีการให้ความรู้แก่สมาชิกเกี่ยวกับเรื่องของการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี โดยจะเน้นใช้สารชีวภัณฑ์แทนปุ๋ยเคมีตั้งแต่เริ่มปลูก คือ มีการใช้ปุ๋ยคอกใส่รองก้นหลุมก่อนปลูก มีการใช้สารชีวภัณฑ์แทนปุ๋ยเคมี เพื่อให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้นเป็นที่มีคุณภาพมากที่สุด ซึ่งประกอบด้วย 1.จุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตร (สูตรหัวเชื้อ) 2. ฮอร์โมนไข่ 1 ลิตร (เป็นฮอร์โมนไข่ที่หมักแล้ว) 3.นมหมัก 1 ลิตร (เป็นนมที่หมักแล้ว) และ 4.แคลเซี่ยมโบรอน 1 ลิตร (แคลเซียมโบรอนที่ทำเรียบร้อยแล้ว) บวกกับจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง
การดูแลรักษา เทคนิคการ Top ใบ ช่วยให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีขึ้น โดยการตัดใบที่ไม่จำเป็นออก ทำให้พืชสามารถใช้พลังงานในการสร้างผลผลิตได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและแมลงศัตรูพืช เนื่องจากการตัดใบที่มีปัญหาจะช่วยลดแหล่งที่อยู่อาศัยของศัตรูพืช
การฉีดยาต้นทุเรียน จะต้องฉีดรอบต้น เพื่อให้แน่ใจว่าสารเคมีหรือปุ๋ยสามารถเข้าถึงทุกส่วนของต้นได้อย่างทั่วถึง ซึ่งมีข้อดีหลาย
กลยุทธ์ทางการตลาด สินค้าจากกลุ่มได้รับรองมาตรฐาน GIP แล้วจำนวน 20 ราย และก็ยังรอให้ทางกรมวิชาการเกษตรมาตรวจแปลงปลูกเพื่อเข้าสู่มาตรฐาน GIP เพิ่มเติมอีก 19 ราย ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการบริโภค สำหรับการทำการตลาดนั้นอีกประการหนึ่ง การให้ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของผลไม้ เช่น การเน้นเรื่องสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการ กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้เขาสามารถสร้างความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่วนมาก สมาชิกจะส่งให้พ่อค้ากลาง และทางพ่อค้ากลางจะส่งต่อไปยังผู้บริโภคที่มาเลเซีย สิงคโปร์อีกทอดหนึ่ง ทางกลุ่มยังมีการทำมังคุดลูกดำบรรจุกล่องเพื่อจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 50 บาท ผ่านช่องทางการจำหน่ายทางโครงการประชารัฐของรัฐบาล รวมทั้งผ่านทางธนาคาร ธกส. เป็นผู้ที่จัดหาช่องทางการตลาดให้ รวมทั้งการเตรียมทำการตลาดในรูปแบบออนไลน์ในฤดูการเก็บเกี่ยวเดือนตุลาคม
การคาดการณ์ราคา: การเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ เนื่องจากมีปริมาณผลผลิตมากเกินไปในตลาดในช่วงเวลาเดียวกัน คุณสุขสรรค์จึงจัดทำบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวและการผลิต เช่น วันที่เก็บเกี่ยวและปริมาณผลผลิต ออกดอกบานวันไหนเก็บเกี่ยวได้วันไหนบวกลบไม่เกิน 10วัน ต้องใช้แรงงานกี่คน ในช่วงใด และสร้างตารางคาดการณ์การเก็บเกี่ยวที่ระบุวันและช่วงเวลาที่ผลผลิตจะออก เพื่อช่วยในการวางแผนการตลาด ศึกษาความต้องการของตลาดในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อคาดการณ์ว่าราคาในอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อเราสามารถคาดการณ์ได้ ก็สามารถใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น กลยุทธ์การเก็บเกี่ยว คือ การเลื่อนเวลาการเก็บเกี่ยวเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพสูงขึ้นและราคาดีขึ้น มุมมองการเป็นเกษตรกรของคุณสุขสรรค์ เกษตรกรต้องเปลี่ยนบทบาท ต้องเป็นผู้บริหาร ไม่ใช้แรงงานของตนอย่างเดียว ต้องสามารถการบริหารจัดการต้นทุนได้ เช่น การจ้างแรงงาน และการวางแผนเพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ เกษตรกรจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการทำงานด้วยตนเองมาเป็นการบริหารจัดการและใช้เทคโนโลยีในการทำงานมากขึ้น ซึ่งการใช้เทคโนโลยีที่มีคุณภาพอาจต้องมีการลงทุนสูง แต่สามารถช่วยให้เกษตรกรประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เช่น การใช้ปั๊มแรงดันสูงช่วยลดเวลาที่ใช้ในการฉีดพ่น ทำให้เกษตรกรสามารถทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง

 

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณมานพจี๋ คีรี 19 ต.ค. 2567 19 พ.ย. 2567

 

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณมานพจี๋ คีรี

 

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณมานพ จี๋คีรี ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จำนวน60ท่าน โดย ดร.ไชยยะ คงมณี รองคณบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

หัวข้อหลัก: การเพิ่มผลผลิตและการจัดการสวนปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน ประเด็นสำคัญที่กล่าวถึง: ความหลากหลายของการทำเกษตร: ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่ปลูกปาล์มน้ำมัน แต่ยังมีผู้ที่ทำอาชีพอื่นๆ เช่น เลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในการทำมาหากินของชุมชน ปัญหาและอุปสรรค: เกษตรกรหลายรายเผชิญกับปัญหาเรื่องภัยแล้ง ดินเสื่อมโทรม น้ำท่วม และการเลือกพืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่
การเพิ่มผลผลิต: มีการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเพิ่มผลผลิต เช่น การเลือกพันธุ์ปาล์มที่เหมาะสม การใส่ปุ๋ย การจัดการน้ำ และการป้องกันกำจัดศัตรูพืช การทำเกษตรยั่งยืน: ผู้เข้าร่วมให้ความสนใจในการทำเกษตรแบบยั่งยืน โดยเฉพาะการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การลดการใช้สารเคมี และการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ควรเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ความรู้และเทคโนโลยีในการจัดการสวนปาล์ม รวมถึงการใส่ปุ๋ยและการจัดการน้ำอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการทำบัญชีฟาร์มและการสร้างรายได้เสริมจากกิจกรรมอื่นๆ เช่น การเลี้ยงสัตว์ การปลูกพืชร่วม เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการเงิน ผู้อำนวยการยังกล่าวถึงความสำคัญของการเป็น Smart Farmer ที่ใช้ความรู้และเทคโนโลยีในการทำเกษตร และการเข้าร่วมโครงการรับรองมาตรฐานการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน การสร้างรายได้เสริม: มีการแนะนำวิธีการสร้างรายได้เสริมจากการทำเกษตร เช่น การเลี้ยงสัตว์ การแปรรูปผลผลิต และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร คุณมานพ จี๋คีรี เกษตรกรดีเด่นตัวแทนจังหวัดนราธิวาส เรื่องของการจัดการสวนปาล์มที่สำคัญมี 3 ประเด็นหลัก ก็คือ เรื่องปุ๋ย เรื่องของการจัดการผลผลิต และการจัดการแรงงานในส่วนปาล์ม ความสำคัญของปุ๋ย: ปุ๋ยเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการเจริญเติบโตและผลผลิตของปาล์มน้ำมัน การเลือกใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมและการใส่ปุ๋ยอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ต้นปาล์มแข็งแรง ผลผลิตสูง และมีคุณภาพดี ชนิดของปุ๋ย: ปุ๋ยเคมี: ให้ธาตุอาหารหลักแก่พืช ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ปุ๋ยอินทรีย์: ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มจุลินทรีย์ในดิน และค่อยๆ ปล่อยธาตุอาหารให้พืชใช้ประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างปุ๋ยอินทรีย์ที่ใช้กับต้นปาล์ม ปุ๋ยหมัก: ผลิตจากวัสดุอินทรีย์ เช่น ขี้ไก่ ขี้วัว ใบไม้ หญ้าแห้ง ผสมกันหมักให้สลายตัวจนได้ปุ๋ยที่มีคุณภาพ ปุ๋ยคอก: ได้จากมูลสัตว์ เช่น ขี้วัว ขี้ควาย มูลไก่ มีธาตุอาหารค่อนข้างครบ ปุ๋ยพืชสด: ใช้พืชปุ๋ย เช่น ปอเทือง โสน ฝังกลบลงดินเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและไนโตรเจนให้กับดิน ปุ๋ยชีวภาพ: ผลิตจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยและป้องกันโรคพืช การใส่ปุ๋ย: ปริมาณ: ขึ้นอยู่กับอายุของต้นปาล์ม สภาพดิน และผลผลิตที่ต้องการ ช่วงเวลา: ควรใส่ปุ๋ยในช่วงที่ต้นปาล์มต้องการธาตุอาหารมากที่สุด เช่น ช่วงก่อนออกดอกและช่วงติดผล การวิเคราะห์ดิน: การวิเคราะห์ดินก่อนการใส่ปุ๋ยจะช่วยให้ทราบถึงความต้องการธาตุอาหารของดินและสามารถปรับปรุงสูตรปุ๋ยให้เหมาะสมได้ การจัดการผลผลิตในสวนปาล์ม การเก็บเกี่ยว: ควรเก็บเกี่ยวผลปาล์มในระยะที่สุกแก่พอดี เพื่อให้ได้น้ำมันปาล์มที่มีคุณภาพสูง การขนส่ง: หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ควรขนส่งผลปาล์มไปยังโรงงานสกัดน้ำมันโดยเร็ว เพื่อป้องกันการเสื่อมเสียของผลผลิต การแปรรูป: ผลปาล์มจะถูกนำไปสกัดน้ำมัน และส่วนที่เหลือจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ยหมัก การจัดการแรงงานในสวนปาล์ม การจ้างแรงงาน: อาจจ้างแรงงานประจำ หรือแรงงานตามฤดูกาล ขึ้นอยู่กับขนาดของสวนปาล์มและปริมาณงาน การฝึกอบรม: ควรมีการฝึกอบรมให้ความรู้แก่แรงงานเกี่ยวกับเทคนิคการทำงานที่ถูกต้อง เช่น การเก็บเกี่ยว การตัดแต่งกิ่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดความเสียหายต่อต้นปาล์ม ความปลอดภัย: ควรมีมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน เช่น การสวมใส่เครื่องป้องกันอันตราย การตรวจสอบเครื่องจักรและอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการสวนปาล์ม: สภาพดิน: ประเภทของดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดิน สภาพอากาศ: ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ ข้อเสนอแนะ: 1. การปูใบในสวนปาล์มเป็นวิธีการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากการตัดแต่งทางใบปาล์มให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการนำมาปูคลุมพื้นดินในสวนปาล์ม ซึ่งวิธีการนี้มีข้อดีหลายประการและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ประโยชน์ของการปูใบในสวนปาล์ม เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน: ใบปาล์มที่ย่อยสลายจะกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน ทำให้ดินร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี และมีปริมาณธาตุอาหารเพิ่มขึ้น ลดการชะล้างหน้าดิน: ใบปาล์มที่ปูคลุมดินจะช่วยลดแรงกระแทกของฝน ช่วยลดการชะล้างหน้าดินและการสูญเสียธาตุอาหาร รักษาความชื้นในดิน: ใบปาล์มจะช่วยลดการระเหยของน้ำจากดิน ทำให้ดินมีความชื้นคงที่ เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของรากพืช ลดการเกิดวัชพืช: ใบปาล์มที่ปูคลุมดินจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืช ลดต้นทุนในการกำจัดวัชพืช ปรับปรุงสภาพแวดล้อม: การปูใบปาล์มจะช่วยลดความร้อนของดิน ช่วยปรับอุณหภูมิในสวนให้เหมาะสม และยังช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมโดยรวมของสวนปาล์ม วิธีการปูใบในสวนปาล์ม เตรียมใบปาล์ม: ตัดแต่งทางใบปาล์มที่ไม่ต้องการแล้วนำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ หรือท่อนสั้นๆ เพื่อให้ย่อยสลายได้เร็วขึ้น ปูใบปาล์ม: นำใบปาล์มที่เตรียมไว้มาปูคลุมพื้นดินในสวนปาล์มให้ทั่วถึง โดยความหนาของใบปาล์มที่ปูควรประมาณ 5-10 เซนติเมตร บำรุงรักษา: หลังจากปูใบปาล์มแล้ว ควรมีการเติมใบปาล์มลงไปเป็นระยะๆ เพื่อรักษาความหนาของชั้นใบปาล์มให้คงที่ ข้อควรระวัง ความสะอาด: ควรเลือกใบปาล์มที่สะอาด ไม่ปนเปื้อนสารเคมีหรือโรคแมลง ความหนา: การปูใบปาล์มหนาเกินไปอาจทำให้เกิดสภาวะขาดอากาศในดินได้ ความถี่: ควรมีการเติมใบปาล์มลงไปเป็นระยะๆ เพื่อรักษาความหนาของชั้นใบปาล์มให้คงที่ 2. การใช้เทคโนโลยี: การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการสวนปาล์ม เช่น ระบบการให้น้ำแบบอัตโนมัติ เครื่องจักรกลการเกษตร จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต 3. การรวมกลุ่มของเกษตรกร: การรวมกลุ่มของเกษตรกรจะช่วยให้เกษตรกรมีอำนาจในการต่อรอง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น 4. การพัฒนาสายพันธุ์: การพัฒนาสายพันธุ์ปาล์มน้ำมันให้มีผลผลิตสูง ทนทานต่อโรคและแมลง จะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ความสำคัญของความรู้และเทคโนโลยี: เกษตรกรควรตระหนักถึงความสำคัญของการนำความรู้และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำเกษตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต

เป้าหมายของการประชุม: 1. ส่งเสริมให้เกษตรกรมีองค์ความรู้และทักษะในการจัดการสวนปาล์มน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ 2. สนับสนุนให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรแบบยั่งยืน 3. ให้ข้อมูล รายละเอียดที่เป็นประโยชน์ในการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร 4. พัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน ข้อเสนอแนะ: การจัดอบรม: ควรจัดอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ได้จริง การสนับสนุนด้านเงินทุน: ควรมีมาตรการสนับสนุนด้านเงินทุนให้แก่เกษตรกรที่ต้องการปรับเปลี่ยนระบบการผลิต การสร้างเครือข่าย: ควรสร้างเครือข่ายระหว่างเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สรุปโดยรวม: การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทำสวนปาล์มน้ำมัน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและพัฒนาภาคการเกษตรให้มีความยั่งยืน

 

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก 21 พ.ย. 2567 21 พ.ย. 2567

 

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก

 

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก โดย ดร.ไชยยะ คงมณี รองคณบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ บทสัมภาษณ์ คุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก เกษตรกรรุ่นใหม่ผู้เปลี่ยนผ่านจากรุ่นพ่อมาสู่รุ่นลูก เป็นต้นแบบเกษตรกรชาวสวนยางเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบยั่งยืน อายุ 39 ปี เป็นเลขานุการของสหกรณ์ ต.ตาเนาะแมเราะ เลขานุการของเครือข่ายเบตง และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เกษตรผสมผสานเบตง ยะลา เกษตรผสมผสานในเบตง กำลังเป็นที่สนใจและได้รับการส่งเสริมอย่างมาก เนื่องจากเป็นรูปแบบการทำเกษตรที่สอดคล้องกับธรรมชาติและมีความยั่งยืน สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และยังส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกด้วย จุดเด่นของเกษตรผสมผสานในเบตง: 1. ความหลากหลายของพืชผล: มีการปลูกพืชผัก ผลไม้หลากหลายชนิด เช่น ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง รวมถึงพืชผักสวนครัวต่างๆ 2. การเลี้ยงสัตว์: นอกจากการปลูกพืชแล้ว ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ เป็ด ปลา เพื่อเพิ่มความหลากหลายของรายได้ 3. การใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างคุ้มค่า: การปลูกพืชหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ และลดการใช้สารเคมี 4. การสร้างระบบนิเวศ: เกษตรผสมผสานช่วยสร้างระบบนิเวศที่สมดุล ทำให้มีแมลงผสมเกสรและสัตว์มีประโยชน์อื่นๆ ช่วยในการควบคุมศัตรูพืช 5. การสร้างรายได้: สามารถสร้างรายได้จากการขายผลผลิตทางการเกษตรทั้งในรูปแบบสดและแปรรูป 6. การส่งเสริมการท่องเที่ยว: สวนเกษตรผสมผสานสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมและเรียนรู้วิถีชีวิตของเกษตรกร ปัจจัยที่สนับสนุนความสำเร็จ สภาพภูมิอากาศและดิน:
เบตงมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการปลูกพืชหลายชนิด และดินมีความอุดมสมบูรณ์ ความรู้และประสบการณ์ของเกษตรกร:
เกษตรกรในเบตงมีความรู้และประสบการณ์ในการทำเกษตรผสมผสานมานาน การสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรต่างๆ:
มีการสนับสนุนด้านการวิจัย การพัฒนา และการตลาด กลุ่มสหกรณ์ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ ความร่วมมือของชุมชน: ชุมชนมีความร่วมมือกันในการพัฒนาเกษตรผสมผสาน ทำให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน ผลสำเร็จของโครงการเกษตรผสมผสานในเบตง: การพัฒนาชุมชน: ช่วยให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ: ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างแบรนด์สินค้า: ผลิตภัณฑ์จากเกษตรผสมผสานได้รับการยอมรับและมีมูลค่าเพิ่ม ตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจ: 1. โครงการพัฒนาต้นแบบเกษตรผสมผสานตามหลักทฤษฎีใหม่: โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรตามวิถีชุมชนของบ้านปิยะมิตร 3 อำเภอเบตง 2. กลุ่มเกษตรกร ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา มีระบบการเลี้ยงที่แตกต่างจากฟาร์มปลานิลในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะการเลี้ยงด้วยระบบสายน้ำไหลธรรมชาติ ทำให้ปลานิลที่นี่ ไม่มีกลิ่นดิน กลิ่นโคลนในเนื้อปลาแม้ระบบน้ำจึงเป็นความได้เปรียบ ด้วยความที่เป็นน้ำจากแหล่ง น้ำธรรมชาติจากภูเขาน้ำใสไหล และมีความเย็น บ่อที่ใช้เลี้ยงไม่ลึกมาก เนื่องจากถ้าน้ำลึกปลาจะโตช้า ระบบน้ำหมุนเวียนจะใช้ท่อขนาดใหญ่ต่อด้วยท่อเล็กลงสองระดับ เพิ่มให้น้ำที่ไหลออกมามีความแรง เพิ่มออกซิเจนในน้ำและเป็นการกระตุ้นให้ปลากินอาหารได้มากขึ้น และวิธีการจัดการการเลี้ยงปลาที่มี นวัตกรรมการเลี้ยงปลาแบบระบบหนาแน่น พื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร เลี้ยงปลา 6,500 ตัว มากกว่า การเลี้ยงในแบบของกรมประมงหลายเท่าตัว ถ้าเป็นการเลี้ยงในรูปแบบของกรมประมง ในพื้นที่ 1 ไร่จะเลี้ยง ปลาประมาณ 2,500 ตัว โดยจัดทำระบบน้ำจะใช้ท่อขนาดใหญ่ต่อน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีความสะอาดเย็นอุณหภูมิ ประมาณ 19-20 องศาเซลเซียส ต่อท่อที่ขนาดเล็กลงก่อนจะไหลลงกระทบผืนน้ำในบ่อเลี้ยงปลา ทำให้เกิด การเติมออกซิเจนลงไป และมีการระบายน้าออกจากบ่อสม่ำเสมอ โดยหมุนเวียนไปในบ่อเลี้ยงปลาบ่ออื่นๆ ที่จัดเรียงตัวลดหลั่นกันไปเป็นขั้นบันได ก่อนจะลงในบ่อบําบัดเป็นบ่อสุดท้ายก่อนจะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งจากการตรวจวัดค่าไนโตรเจนในน้ำพบว่าน้ำปลายทางคุณภาพแทบไม่ต่างจากต้นทาง เมื่อน้ำสะอาดปลาก็ สามารถเติบโตได้ดี ปริมาณปลาที่เลี้ยงมากเท่าใดก็ไม่ส่งผลกระทบ สามารถเลี้ยงในระบบหนาแน่นได้ แต่อยู่ใน อัตราที่ไม่มากเกินไป โดยบ่อขนาด 40 ตารางเมตร ปล่อยปลา 13,000 ตัว ปลาเติบโตดี มีเนื้อเยอะ ไม่มีกลิ่น คาว ในขณะที่บ่อเลี้ยงปลาทั่วไปที่น้ำไม่มีการไหลเวียนและมีอุณหภูมิสูงทให้เกิดสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินซึ่ง เมื่อปลากินสาหร่ายนี้เข้าไปทำให้เนื้อปลามีกลิ่น
การใช้ประโยชน์ของภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเลี้ยงปลาระบบน้ำไหล 1. ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ของกรมประมง 2. หมู่บ้านปลาในสายน้ำไหล (Fillage) เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ 3. ปลาที่ไม่ได้น้ำหนักหรือตกไซส์ มีการนํามาแปรรูปเป็นปลานิลแดดเดียวและขลุ่ยปลานิล ออกจําหน่ายเป็นสินค้า OTOP 4. เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยงปลา 5. มีตลาดการส่งออก โดยการแล่เนื้อปลา ผ่านกระบวนการแช่แข็งที่ทันสมัยและส่งออกไปยังตะวันออก กลางและฝรั่งเศส 6. อยู่ในขั้นตอนการยื่นขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพื่อให้ปลานิลในพื้นที่เชิงเขาสันกาลา คีรี เป็นที่รู้จักในระดับโลกต่อไป


อาชีพเสริมรายได้
การปลูกไม้เนื้ออ่อน การปลูกไม้เนื้ออ่อนเป็นอาชีพเสริมที่เบตง ยะลา: โอกาสและสิ่งที่ต้องพิจารณา การปลูกไม้เนื้ออ่อนเป็นอาชีพเสริมในพื้นที่เบตง ยะลา นับเป็นแนวคิดที่ดีค่ะ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศและดินที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของไม้หลายชนิด ซึ่งอาจนำมาต่อยอดเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี ข้อดีของการปลูกไม้เนื้ออ่อนในพื้นที่เบตง ยะลา สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย: สภาพภูมิอากาศและดินในพื้นที่เบตง ยะลา เหมาะสมต่อการปลูกไม้เนื้ออ่อนหลายชนิด ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี ความต้องการของตลาด: ไม้เนื้ออ่อนมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง และมีความต้องการในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นการลงทุนระยะยาว: การปลูกไม้เนื้ออ่อนเป็นการลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนในอนาคต ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม: การปลูกป่าช่วยลดปัญหาการกัดเซาะดิน ป้องกันน้ำท่วม และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนเริ่มต้น ชนิดของไม้: เลือกชนิดของไม้เนื้ออ่อนที่เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศและตลาด เช่น ไม้สัก ไม้แดง ไม้ประดู่ พื้นที่ปลูก: พิจารณาพื้นที่ที่มีอยู่ว่าเหมาะสมกับการปลูกไม้หรือไม่ ควรมีการเตรียมดินและระบบน้ำที่ดี การดูแลรักษา: การปลูกไม้ต้องใช้เวลาและความอดทนในการดูแลรักษา ตรวจสอบโรคแมลง และการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ตลาด: ศึกษาตลาดและช่องทางการจำหน่ายผลผลิตก่อนลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่ามีตลาดรองรับ กฎหมายและระเบียบ: ศึกษากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปลูกป่าและการตัดไม้ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย ขั้นตอนการเริ่มต้นปลูกไม้เนื้ออ่อน ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของไม้ วิธีการปลูก การดูแล และตลาด เตรียมพื้นที่: เตรียมพื้นที่ปลูก กำจัดวัชพืช และปรับปรุงดิน เลือกซื้อกล้าไม้: เลือกซื้อกล้าไม้พันธุ์ดีจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ปลูกกล้าไม้: ปลูกกล้าไม้ตามระยะที่เหมาะสม ดูแลรักษา: ดูแลรักษาต้นไม้ให้อยู่รอดและเจริญเติบโต การตลาด: หาช่องทางการจำหน่ายผลผลิต





การปลูกยางพารา สถานการณ์ปัจจุบัน 1. ปัญหาของเกษตรชาวสวนยางที่พบส่วนมากในพื้นที่ คือ การไม่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรตั้งแต่แรก ไม่มีรายชื่อ รายชื่อตกหล่นเนื่องจากขึ้นทะเบียนไว้อยู่ในตำบล เทศบาล โดยไม่แจ้งหมู่ นอกจากนี้ ยังพบว่า ชาวสวนยางในพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรือหนังสือการรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ไม่มีใบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ขณะที่พื้นที่สวนยาง ในเขตเทศบาลเมืองเบตง พบว่า เป็นที่ดิน สทก. ซึ่งเป็นหนังสืออนุญาตแก่ผู้ที่เข้าไปบุกรุกทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นผู้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในที่ดินเท่านั้น 2. ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ถือเป็นปัญหาสำคัญของเกษตรกรไทยที่ต้องพึ่งพากลไกของรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะเรื่องยางพารา ที่ผันผวนอย่างต่อเนื่องตามปริมาณการผลิตและปริมาณความต้องการของตลาด ราคาต่ำลงจนเกือบน้อยกว่าต้นทุนการผลิต
การเตรียมพื้นที่ปลูก 1. เลือกพื้นที่: เลือกพื้นที่ที่มีดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี ไม่เป็นแอ่งน้ำ และได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ 2. เตรียมดิน: ไถพรวนดินให้ละเอียด กำจัดวัชพืช และปรับระดับพื้นที่ให้เรียบเสมอกัน 3. ทำหลุมปลูก: ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้าง ยาว และลึกประมาณ 50 เซนติเมตร 4. ใส่ปุ๋ยรองพื้น: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในหลุมปลูก เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน 5. การเลือกพันธุ์และการปลูก 6. เลือกพันธุ์: เลือกพันธุ์ยางพาราที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และตลาด เช่น พันธุ์ RRIM 600, PB 260 เป็นต้น 7. ปลูกกล้า: นำกล้ายางพาราที่แข็งแรงลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้แน่นและรดน้ำให้ชุ่ม 8. ระยะปลูก: ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 7-8 เมตรต่อแถว และ 4-5 เมตรต่อต้น การดูแลรักษา การให้น้ำ: รดน้ำให้ยางพาราอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยตามระยะเวลาที่กำหนด โดยพิจารณาจากอายุของยางพาราและสภาพดิน การตัดแต่งกิ่ง: ตัดแต่งกิ่งที่แห้งตายหรือเป็นโรค และตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ทรงพุ่มสวยงาม การป้องกันกำจัดศัตรูพืช: หมั่นตรวจสอบสวนยางพารา เพื่อป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เช่น มดแดง หนอนเจาะลำต้น โรครากเน่า เป็นต้น การกรีดยาง อายุการกรีด: ยางพาราสามารถเริ่มกรีดได้เมื่ออายุประมาณ 6 ปีขึ้นไป วิธีการกรีด: มีหลายวิธีการกรีด เช่น ระบบกรีดเอียง ระบบกรีดสี่เหลี่ยม ซึ่งขึ้นอยู่กับความถนัดของเกษตรกร ฤดูกาลกรีด: ควรกรีดยางพาราในช่วงฤดูฝน เพื่อให้ได้น้ำยางที่มีปริมาณมากและมีคุณภาพดี ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลผลิตยางพารา พันธุ์ยางพารา: พันธุ์ยางพาราแต่ละพันธุ์จะมีลักษณะและผลผลิตที่แตกต่างกัน สภาพดิน: ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง จะทำให้ยางพาราเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตสูง สภาพอากาศ: อุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสม จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของยางพารา