สถาบันนโยบายสาธารณะ (สนส. ม.อ.)

การดำเนินงานขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ในจังหวัดยะลา

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก21 พฤศจิกายน 2567
21
พฤศจิกายน 2567รายงานจากพื้นที่ โดย Yadaporn Yimkaew
circle
กิจกรรมที่ปฎิบัติรายละเอียดของการทำกิจกรรมที่ได้ปฎิบัติจริง

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก

circle
ผลที่เกิดขึ้นจริงผลผลิต (Output) / ผลลัพธ์ (Outcome) / ผลสรุปที่สำคัญของกิจกรรม

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก โดย ดร.ไชยยะ คงมณี รองคณบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ บทสัมภาษณ์ คุณทศพล รุ่งเรืองใบหยก เกษตรกรรุ่นใหม่ผู้เปลี่ยนผ่านจากรุ่นพ่อมาสู่รุ่นลูก เป็นต้นแบบเกษตรกรชาวสวนยางเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบยั่งยืน อายุ 39 ปี เป็นเลขานุการของสหกรณ์ ต.ตาเนาะแมเราะ เลขานุการของเครือข่ายเบตง และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เกษตรผสมผสานเบตง ยะลา เกษตรผสมผสานในเบตง กำลังเป็นที่สนใจและได้รับการส่งเสริมอย่างมาก เนื่องจากเป็นรูปแบบการทำเกษตรที่สอดคล้องกับธรรมชาติและมีความยั่งยืน สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และยังส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกด้วย จุดเด่นของเกษตรผสมผสานในเบตง: 1. ความหลากหลายของพืชผล: มีการปลูกพืชผัก ผลไม้หลากหลายชนิด เช่น ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง รวมถึงพืชผักสวนครัวต่างๆ 2. การเลี้ยงสัตว์: นอกจากการปลูกพืชแล้ว ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ เป็ด ปลา เพื่อเพิ่มความหลากหลายของรายได้ 3. การใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างคุ้มค่า: การปลูกพืชหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ และลดการใช้สารเคมี 4. การสร้างระบบนิเวศ: เกษตรผสมผสานช่วยสร้างระบบนิเวศที่สมดุล ทำให้มีแมลงผสมเกสรและสัตว์มีประโยชน์อื่นๆ ช่วยในการควบคุมศัตรูพืช 5. การสร้างรายได้: สามารถสร้างรายได้จากการขายผลผลิตทางการเกษตรทั้งในรูปแบบสดและแปรรูป 6. การส่งเสริมการท่องเที่ยว: สวนเกษตรผสมผสานสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมและเรียนรู้วิถีชีวิตของเกษตรกร ปัจจัยที่สนับสนุนความสำเร็จ สภาพภูมิอากาศและดิน:
เบตงมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการปลูกพืชหลายชนิด และดินมีความอุดมสมบูรณ์ ความรู้และประสบการณ์ของเกษตรกร:
เกษตรกรในเบตงมีความรู้และประสบการณ์ในการทำเกษตรผสมผสานมานาน การสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรต่างๆ:
มีการสนับสนุนด้านการวิจัย การพัฒนา และการตลาด กลุ่มสหกรณ์ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ ความร่วมมือของชุมชน: ชุมชนมีความร่วมมือกันในการพัฒนาเกษตรผสมผสาน ทำให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน ผลสำเร็จของโครงการเกษตรผสมผสานในเบตง: การพัฒนาชุมชน: ช่วยให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ: ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างแบรนด์สินค้า: ผลิตภัณฑ์จากเกษตรผสมผสานได้รับการยอมรับและมีมูลค่าเพิ่ม ตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจ: 1. โครงการพัฒนาต้นแบบเกษตรผสมผสานตามหลักทฤษฎีใหม่: โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรตามวิถีชุมชนของบ้านปิยะมิตร 3 อำเภอเบตง 2. กลุ่มเกษตรกร ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา มีระบบการเลี้ยงที่แตกต่างจากฟาร์มปลานิลในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะการเลี้ยงด้วยระบบสายน้ำไหลธรรมชาติ ทำให้ปลานิลที่นี่ ไม่มีกลิ่นดิน กลิ่นโคลนในเนื้อปลาแม้ระบบน้ำจึงเป็นความได้เปรียบ ด้วยความที่เป็นน้ำจากแหล่ง น้ำธรรมชาติจากภูเขาน้ำใสไหล และมีความเย็น บ่อที่ใช้เลี้ยงไม่ลึกมาก เนื่องจากถ้าน้ำลึกปลาจะโตช้า ระบบน้ำหมุนเวียนจะใช้ท่อขนาดใหญ่ต่อด้วยท่อเล็กลงสองระดับ เพิ่มให้น้ำที่ไหลออกมามีความแรง เพิ่มออกซิเจนในน้ำและเป็นการกระตุ้นให้ปลากินอาหารได้มากขึ้น และวิธีการจัดการการเลี้ยงปลาที่มี นวัตกรรมการเลี้ยงปลาแบบระบบหนาแน่น พื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร เลี้ยงปลา 6,500 ตัว มากกว่า การเลี้ยงในแบบของกรมประมงหลายเท่าตัว ถ้าเป็นการเลี้ยงในรูปแบบของกรมประมง ในพื้นที่ 1 ไร่จะเลี้ยง ปลาประมาณ 2,500 ตัว โดยจัดทำระบบน้ำจะใช้ท่อขนาดใหญ่ต่อน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีความสะอาดเย็นอุณหภูมิ ประมาณ 19-20 องศาเซลเซียส ต่อท่อที่ขนาดเล็กลงก่อนจะไหลลงกระทบผืนน้ำในบ่อเลี้ยงปลา ทำให้เกิด การเติมออกซิเจนลงไป และมีการระบายน้าออกจากบ่อสม่ำเสมอ โดยหมุนเวียนไปในบ่อเลี้ยงปลาบ่ออื่นๆ ที่จัดเรียงตัวลดหลั่นกันไปเป็นขั้นบันได ก่อนจะลงในบ่อบําบัดเป็นบ่อสุดท้ายก่อนจะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งจากการตรวจวัดค่าไนโตรเจนในน้ำพบว่าน้ำปลายทางคุณภาพแทบไม่ต่างจากต้นทาง เมื่อน้ำสะอาดปลาก็ สามารถเติบโตได้ดี ปริมาณปลาที่เลี้ยงมากเท่าใดก็ไม่ส่งผลกระทบ สามารถเลี้ยงในระบบหนาแน่นได้ แต่อยู่ใน อัตราที่ไม่มากเกินไป โดยบ่อขนาด 40 ตารางเมตร ปล่อยปลา 13,000 ตัว ปลาเติบโตดี มีเนื้อเยอะ ไม่มีกลิ่น คาว ในขณะที่บ่อเลี้ยงปลาทั่วไปที่น้ำไม่มีการไหลเวียนและมีอุณหภูมิสูงทให้เกิดสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินซึ่ง เมื่อปลากินสาหร่ายนี้เข้าไปทำให้เนื้อปลามีกลิ่น
การใช้ประโยชน์ของภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการเลี้ยงปลาระบบน้ำไหล 1. ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ของกรมประมง 2. หมู่บ้านปลาในสายน้ำไหล (Fillage) เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ 3. ปลาที่ไม่ได้น้ำหนักหรือตกไซส์ มีการนํามาแปรรูปเป็นปลานิลแดดเดียวและขลุ่ยปลานิล ออกจําหน่ายเป็นสินค้า OTOP 4. เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรกลุ่มผู้เลี้ยงปลา 5. มีตลาดการส่งออก โดยการแล่เนื้อปลา ผ่านกระบวนการแช่แข็งที่ทันสมัยและส่งออกไปยังตะวันออก กลางและฝรั่งเศส 6. อยู่ในขั้นตอนการยื่นขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพื่อให้ปลานิลในพื้นที่เชิงเขาสันกาลา คีรี เป็นที่รู้จักในระดับโลกต่อไป


อาชีพเสริมรายได้
การปลูกไม้เนื้ออ่อน การปลูกไม้เนื้ออ่อนเป็นอาชีพเสริมที่เบตง ยะลา: โอกาสและสิ่งที่ต้องพิจารณา การปลูกไม้เนื้ออ่อนเป็นอาชีพเสริมในพื้นที่เบตง ยะลา นับเป็นแนวคิดที่ดีค่ะ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศและดินที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของไม้หลายชนิด ซึ่งอาจนำมาต่อยอดเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี ข้อดีของการปลูกไม้เนื้ออ่อนในพื้นที่เบตง ยะลา สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย: สภาพภูมิอากาศและดินในพื้นที่เบตง ยะลา เหมาะสมต่อการปลูกไม้เนื้ออ่อนหลายชนิด ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี ความต้องการของตลาด: ไม้เนื้ออ่อนมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง และมีความต้องการในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นการลงทุนระยะยาว: การปลูกไม้เนื้ออ่อนเป็นการลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนในอนาคต ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม: การปลูกป่าช่วยลดปัญหาการกัดเซาะดิน ป้องกันน้ำท่วม และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนเริ่มต้น ชนิดของไม้: เลือกชนิดของไม้เนื้ออ่อนที่เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศและตลาด เช่น ไม้สัก ไม้แดง ไม้ประดู่ พื้นที่ปลูก: พิจารณาพื้นที่ที่มีอยู่ว่าเหมาะสมกับการปลูกไม้หรือไม่ ควรมีการเตรียมดินและระบบน้ำที่ดี การดูแลรักษา: การปลูกไม้ต้องใช้เวลาและความอดทนในการดูแลรักษา ตรวจสอบโรคแมลง และการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ตลาด: ศึกษาตลาดและช่องทางการจำหน่ายผลผลิตก่อนลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่ามีตลาดรองรับ กฎหมายและระเบียบ: ศึกษากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปลูกป่าและการตัดไม้ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย ขั้นตอนการเริ่มต้นปลูกไม้เนื้ออ่อน ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของไม้ วิธีการปลูก การดูแล และตลาด เตรียมพื้นที่: เตรียมพื้นที่ปลูก กำจัดวัชพืช และปรับปรุงดิน เลือกซื้อกล้าไม้: เลือกซื้อกล้าไม้พันธุ์ดีจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ปลูกกล้าไม้: ปลูกกล้าไม้ตามระยะที่เหมาะสม ดูแลรักษา: ดูแลรักษาต้นไม้ให้อยู่รอดและเจริญเติบโต การตลาด: หาช่องทางการจำหน่ายผลผลิต





การปลูกยางพารา สถานการณ์ปัจจุบัน 1. ปัญหาของเกษตรชาวสวนยางที่พบส่วนมากในพื้นที่ คือ การไม่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรตั้งแต่แรก ไม่มีรายชื่อ รายชื่อตกหล่นเนื่องจากขึ้นทะเบียนไว้อยู่ในตำบล เทศบาล โดยไม่แจ้งหมู่ นอกจากนี้ ยังพบว่า ชาวสวนยางในพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรือหนังสือการรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ไม่มีใบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ขณะที่พื้นที่สวนยาง ในเขตเทศบาลเมืองเบตง พบว่า เป็นที่ดิน สทก. ซึ่งเป็นหนังสืออนุญาตแก่ผู้ที่เข้าไปบุกรุกทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นผู้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในที่ดินเท่านั้น 2. ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ถือเป็นปัญหาสำคัญของเกษตรกรไทยที่ต้องพึ่งพากลไกของรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะเรื่องยางพารา ที่ผันผวนอย่างต่อเนื่องตามปริมาณการผลิตและปริมาณความต้องการของตลาด ราคาต่ำลงจนเกือบน้อยกว่าต้นทุนการผลิต
การเตรียมพื้นที่ปลูก 1. เลือกพื้นที่: เลือกพื้นที่ที่มีดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี ไม่เป็นแอ่งน้ำ และได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ 2. เตรียมดิน: ไถพรวนดินให้ละเอียด กำจัดวัชพืช และปรับระดับพื้นที่ให้เรียบเสมอกัน 3. ทำหลุมปลูก: ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้าง ยาว และลึกประมาณ 50 เซนติเมตร 4. ใส่ปุ๋ยรองพื้น: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในหลุมปลูก เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน 5. การเลือกพันธุ์และการปลูก 6. เลือกพันธุ์: เลือกพันธุ์ยางพาราที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และตลาด เช่น พันธุ์ RRIM 600, PB 260 เป็นต้น 7. ปลูกกล้า: นำกล้ายางพาราที่แข็งแรงลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้แน่นและรดน้ำให้ชุ่ม 8. ระยะปลูก: ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 7-8 เมตรต่อแถว และ 4-5 เมตรต่อต้น การดูแลรักษา การให้น้ำ: รดน้ำให้ยางพาราอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยตามระยะเวลาที่กำหนด โดยพิจารณาจากอายุของยางพาราและสภาพดิน การตัดแต่งกิ่ง: ตัดแต่งกิ่งที่แห้งตายหรือเป็นโรค และตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ทรงพุ่มสวยงาม การป้องกันกำจัดศัตรูพืช: หมั่นตรวจสอบสวนยางพารา เพื่อป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เช่น มดแดง หนอนเจาะลำต้น โรครากเน่า เป็นต้น การกรีดยาง อายุการกรีด: ยางพาราสามารถเริ่มกรีดได้เมื่ออายุประมาณ 6 ปีขึ้นไป วิธีการกรีด: มีหลายวิธีการกรีด เช่น ระบบกรีดเอียง ระบบกรีดสี่เหลี่ยม ซึ่งขึ้นอยู่กับความถนัดของเกษตรกร ฤดูกาลกรีด: ควรกรีดยางพาราในช่วงฤดูฝน เพื่อให้ได้น้ำยางที่มีปริมาณมากและมีคุณภาพดี ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลผลิตยางพารา พันธุ์ยางพารา: พันธุ์ยางพาราแต่ละพันธุ์จะมีลักษณะและผลผลิตที่แตกต่างกัน สภาพดิน: ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง จะทำให้ยางพาราเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตสูง สภาพอากาศ: อุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสม จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของยางพารา