สถาบันนโยบายสาธารณะ (สนส. ม.อ.)

การดำเนินงานขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ในจังหวัดปัตตานี

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณกัญญาภัค นวลศิลป์25 พฤศจิกายน 2567
25
พฤศจิกายน 2567รายงานจากพื้นที่ โดย Yadaporn Yimkaew
circle
กิจกรรมที่ปฎิบัติรายละเอียดของการทำกิจกรรมที่ได้ปฎิบัติจริง

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพการทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนในรูปแบบระบบเกษตรหลากหลายแบบแยกแปลงสวนคุณกัญญาภัค นวลศิลป์

circle
ผลที่เกิดขึ้นจริงผลผลิต (Output) / ผลลัพธ์ (Outcome) / ผลสรุปที่สำคัญของกิจกรรม

สวนคุณกัญญาภัค นวลศิลป์ คุณกัญญาภัค นวลศิลป์ “การทำเกษตรแบบประณีต โมเดลผักยกแคร่สู่การจัดการตลาดเชิงพาณิชย์ และสร้างกระบวนการเรียนรู้สู่เครือข่าย” โดยดร.ไชยยะ คงมณี รองคณบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ประสบการณ์ทำเกษตร 4 ปีประสบการณ์ทำเกษตรผสมผสาน 4 ปี ลักษณะระบบเกษตรผสมผสานปลูกแบบยกแคร่ ผักกินใบพืช กินผล ขายดินปลูกกล้าพันธุ์ผัก เลี้ยงไก่ดำ และเลี้ยงปลา

เกษตรกร ที่ทำการเกษตรผสมผสาน อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด และเกษตรอำเภอ ส่งเสริมการทำการเกษตร ในโครงการพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่ กิจกรรมเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก ใน 12 อำเภอ จังหวัดปัตตานี จากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวสู่การทำเกษตรผสมผสาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2564 โดยใช้พื้นที่บริเวณรอบบ้านปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานในครัวเรือน เพื่อลดรายจ่ายและเสริมรายได้ ประชุมสวนพี่อร กระบวนการ: เยี่ยมชมแปลงคุณกัญญาภัค อ.ไชยยะ คงมณี สะท้อนข้อมูลจากแปลงคุณกัญญาภัค
• พื้นที่ทำการเกษตรในพื้นที่ปัตตานีโดยเฉลี่ย 5-10ไร่ ต่อคน รายได้ต่อปีจะไม่เกิน 50,000บาท • การทำสวนยางเพียงอย่างเดียวไม่พอต่อการดำรงชีวิตในแต่ละวัน
• การเปลี่ยนแปลงพื้นที่สวนยางของคุณกัญญาภัค เพื่อทำเกษตรผสมผสาน ทำให้มีรายได้ต่อปี 300,000 บาท ต่อไร่ • ความน่าสนใจ ต้องมีเทคนิคที่ประหยัดแรง ทำงานอย่างมีความสุข และมีรายได้จากสวนที่หลากหลาย
• สวนคุณกัญญาภัค เป็นการปลูกผักกินใบ,ผักกินผล • คุณกัญญาภัคสามารถสร้างเครือข่ายในการขายในการผลิต (ดินปุ๋ย,กล้าพันธุ์) • มีตลาดที่แน่นอนและมีการเชื่อมโยงกับตลาดผู้บริโภค ความแน่นอนของยอดซื้อ • สามารถกำหนดราคาเองได้ และผลิตสินค้าที่คนอื่นไม่มี
• การดึงคนในชุมชนมามีส่วนร่วม (เกษตรกรรายย่อยในพื้นที่) และผลิตตามความต้องการของตลาด
• จุดเด่น - ผักยกแคร่ แคร่ที่ดัดแปลงใช้กับวัสดุที่เรามีเพื่อลดต้นทุน (นวัตกรรมให้สอดคล้องกับของและพื้นที่ที่เรามี)
• เกษตรกรจะต้องมีทักษะในการเรียนรู้ เรียนรู้เทคโนโลยีในการประกอบการ ทาเกษตรต้องทาแบบธุรกิจการเกษตร(ทักษะในการเป็นผู้ประกอบการ)
• การมีเครือข่าย ภาคประชาชน ภาครัฐ ที่พอดี ไม่มากไม่น้อยไป

หลักการสำคัญของเกษตรผสมผสาน หมุนเวียนพืช: ปลูกพืชชนิดต่างๆ สลับกันไปมา เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน และลดปัญหาโรคแมลง ใช้ปุ๋ยหมัก: ใช้ปุ๋ยหมักจากมูลสัตว์และเศษพืช เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และลดการใช้ปุ๋ยเคมี ควบคุมศัตรูพืช: ใช้ศัตรูธรรมชาติในการควบคุมศัตรูพืช เช่น ใช้แมลงตัวหวน กินเพลี้ย อนุรักษ์น้ำ: ใช้ระบบชลประทานที่ประหยัดน้ำ เช่น ระบบน้ำหยด ใช้พลังงานทดแทน: ใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ประโยชน์ของเกษตรผสมผสาน 1. เพิ่มผลผลิต: ได้ผลผลิตทั้งพืช ผลไม้ และสัตว์ 2. ลดต้นทุนการผลิต: ลดการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และลดการซื้อปัจจัยการผลิตภายนอก 3. สร้างความมั่นคงทางอาหาร: มีอาหารบริโภคตลอดทั้งปี 4. อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม: ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน ป้องกันการกัดเซาะ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5. สร้างรายได้/สร้างแหล่งเรียนรู้ในชุมชน: เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากการขายผลผลิตทางการเกษตรที่หลากหลาย โมเดลผักยกแคร่ เป็นแนวทางการทำเกษตรที่ได้รับความสนใจและได้รับการเผยแพร่ในวงกว้าง เนื่องจากเป็นวิธีการปลูกพืชที่ให้ผลผลิตดี มีคุณภาพ และสามารถจัดการได้ง่าย เหมาะสำหรับเกษตรกรรายย่อยและผู้ที่สนใจทำเกษตรเป็นอาชีพเสริม

จุดเด่นของโมเดลผักยกแคร่ การจัดการง่าย: สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ในการปลูกพืชได้ดี เช่น น้ำ ปุ๋ย และแสงแดด ลดต้นทุน: ลดการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และลดการสูญเสียผลผลิตจากโรคและแมลง ผลผลิตมีคุณภาพ: ผักที่ปลูกได้มีคุณค่าทางอาหารสูง ปลอดภัย และเป็นที่ต้องการของตลาด เพิ่มรายได้: สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาสูง และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการแปรรูป พัฒนาชุมชน: สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างเครือข่ายผู้ผลิต

ขั้นตอนการดำเนินงาน 1. การเตรียมแปลงปลูก: ก่อสร้างแปลงปลูกแบบยกสูง เพื่อระบายน้ำได้ดี และป้องกันโรคแมลง 1.1 เลือกวัสดุ: เลือกวัสดุที่แข็งแรงทนทาน เช่น ไม้ ไม้ไผ่ หรือเหล็ก มาทำเป็นโครงสร้างของ แคร่ 1.2 เตรียมดิน: ผสมดินกับปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน 1.3 ระบายน้ำ: ทำการระบายน้ำให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำขัง 2. การเตรียมดิน: ปรับปรุงดินให้มีสภาพดี โดยการใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และวัสดุอินทรีย์อื่นๆ 3. การเลือกพันธุ์พืช: เลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศ และมีความต้องการของตลาด 4. การปลูก: ปลูกพืชโดยใช้ระยะห่างที่เหมาะสม เพื่อให้พืชได้รับแสงแดดและอากาศถ่ายเทสะดวก 5. การดูแลรักษา: ดูแลรักษาพืชอย่างสม่ำเสมอ โดยการให้น้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย และกำจัดวัชพืช 6. การเก็บเกี่ยว: เก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่อถึงอายุที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี 7. การแปรรูปและการตลาด: นำผลผลิตไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ผักดอง ผักสดบรรจุถุง หรือแปรรูปเป็นอาหารพร้อมรับประทาน เพื่อเพิ่มมูลค่าและขยายช่องทางการตลาด

ปุ๋ยผักยกแคร่: การเลือกปุ๋ยที่เหมาะสมสำหรับผักยกแคร่นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืชโดยตรง โดยทั่วไปแล้ว ผักยกแคร่ต้องการปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบถ้วน ทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม เพื่อให้พืชเจริญเติบโตแข็งแรง ออกดอก ผล และให้ผลผลิตสูง 1. ปุ๋ยคอก: เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากมูลสัตว์ เช่น มูลวัว มูลไก่ ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน ทำให้ดินร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี และมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อดิน ข้อดี: อุดมไปด้วยธาตุอาหารหลากหลายชนิด ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยปรับปรุงคุณภาพดินในระยะยาว ข้อเสีย: อาจมีปริมาณเชื้อโรคสูง หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดการเผาไหม้พืชได้

  1. ปุ๋ยหมัก: เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากการหมักวัสดุอินทรีย์ต่างๆ เช่น เศษใบไม้ เศษอาหาร เปลือกผลไม้ มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับปุ๋ยคอก ข้อดี: อุดมไปด้วยธาตุอาหารหลากหลายชนิด ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน ข้อเสีย: กระบวนการผลิตใช้เวลานาน
  2. ปุ๋ยชีวภาพ: เป็นปุ๋ยที่ผลิตจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่น แบคทีเรีย รา เห็ดรา ช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาให้พืชใช้ และช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน ข้อดี: เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี ลดต้นทุนการผลิต ช่วยให้พืชมีความต้านทานต่อโรคและแมลง ข้อเสีย: ผลที่ได้อาจช้ากว่าปุ๋ยเคมี

การปลูกผักไมโครกรีน: สวนผักจิ๋ว บรรจุคุณค่าทางอาหารสูง

ผักไมโครกรีน หรือ Microgreens คือ ต้นกล้าอ่อนๆ ของพืชผักต่างๆ ที่ปลูกในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะเก็บเกี่ยว โดยมีขนาดเล็กจิ๋วแต่เต็มไปด้วยคุณค่าทางอาหารสูง เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เป็นที่นิยมของผู้รักสุขภาพและเชฟมากขึ้นเรื่อยๆ

ประโยชน์ของการปลูกผักไมโครกรีน 1. คุณค่าทางอาหารสูง: มีสารอาหารเข้มข้นกว่าผักโตเต็มวัยหลายเท่า 2. รสชาติเข้มข้น: มีรสชาติที่เข้มข้นและหลากหลายตามชนิดของพืช 3. ปลูกง่าย: ไม่ต้องใช้พื้นที่มาก สามารถปลูกได้ในที่แคบๆ 4. เติบโตเร็ว: เก็บเกี่ยวได้ภายใน 7-14 วัน 5. ตกแต่งอาหาร: เพิ่มความสวยงามและน่ารับประทานให้กับอาหาร

การตลาดเชิงรุกสำหรับผักไมโครกรีน: สู่ความสำเร็จในตลาด

การปลูกผักไมโครกรีนในปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากคุณค่าทางอาหารสูงและความสะดวกในการปลูก แต่การจะประสบความสำเร็จในตลาดนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ผู้บริโภคตระหนักถึงคุณประโยชน์และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา กลุ่มเป้าหมาย: 1. ผู้รักสุขภาพ: เน้นคุณประโยชน์ต่อสุขภาพและความปลอดภัยของอาหาร 2. ร้านอาหาร: เชฟและเจ้าของร้านอาหารที่ต้องการวัตถุดิบสดใหม่และมีคุณภาพสูง 3. โรงแรม: โรงแรมหรูที่ต้องการเสิร์ฟอาหารที่มีเอกลักษณ์และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า 4. ผู้บริโภคทั่วไป: ผู้ที่สนใจลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และใส่ใจสุขภาพ 5. คู่แข่ง: ศึกษาคู่แข่งในตลาด ทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์ ราคา และช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อวางแผนกลยุทธ์ที่แตกต่างและโดดเด่น กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก 1. สร้างชื่อแบรนด์: เลือกชื่อแบรนด์ที่สื่อถึงความสดใหม่ สะอาด และมีคุณภาพ 2. ออกแบบโลโก้: ออกแบบโลโก้ที่น่าสนใจและเป็นเอกลักษณ์ 3. สร้างสรรค์เรื่องราว: เล่าเรื่องราวของแบรนด์ เช่น การปลูกผักแบบธรรมชาติ การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์คุณภาพ เป็นต้น วิธีการเพาะ 1. ใส่วัสดุเพาะ ประมาณ 1 นิ้วครึ่ง ถึง 2 นิ้ว ให้เรียบเสมอกัน 2. โปรยเมล็ดไมโครกรีน ให้ทั่วโดยไม่ให้ชิดกันจนเกินไป 3. โรยดินกรบเมล็ดบางๆ โดยใช้ตะแกรงหยาบๆ ในการร่อน 4. ฉีดน้ำด้วยกระบอกฉีดน้ำ(ฟ็อกกี้) เล็กน้อยพอให้ชุ่ม 5. ปิดภาชนะด้วยผ้า หรือถุงดำเพื่อพลางแสง 6. รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ให้ดินชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ 7. หลังจากเพาะ 2-3 วันเมื่อเริ่มเห็นใบ สามารถนำผ้าหรือถุงดำออกได้ 8. รอประมาณ 8-14 วัน เพียงเท่านี้ก็เก็บเกี่ยวมาใช้ประกอบอาหารได้แล้ว ช่องทางการขาย: 1. ตลาดชุมชน: ขายตรงถึงผู้บริโภค 2. ร้านอาหารและโรงแรม: สร้างความสัมพันธ์กับร้านอาหารและโรงแรม 3. ออนไลน์: ขายผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์, Facebook, Instagram

หน่วยงานหลักที่ให้การสนับสนุนด้านการเกษตร Public Policy Institute สถาบันนโยบายสาธารณะ มอ.: ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานแบบเครือข่าย โดยระดมนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เครือข่ายประชาสังคม องค์กรชุมชน ราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดปัตตานี: เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรในจังหวัดปัตตานี โดยมีโครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่สนับสนุนเกษตรกรในการทำเกษตรผสมผสาน เช่น การจัดอบรม การให้คำปรึกษา และการสนับสนุนปัจจัยการผลิต ศูนย์ส่งเสริมการเกษตร: ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรในแต่ละอำเภอมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาและสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเทคนิคการทำเกษตรผสมผสาน มหาวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยในจังหวัดปัตตานี เช่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และให้บริการวิชาการแก่เกษตรกร เครือข่ายชุมชน/กลุ่มเกษตรกร: กลุ่มเกษตรกรในชุมชนมีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสนับสนุนกันและกันในการทำเกษตรผสมผสาน

มุมมองของคุณกัญญาภัค นวลศิลป์ (พี่อร)
“นักธุรกิจการเกษตร” เกษตรกรนักธุรกิจ คือเกษตรกรที่มองการทำเกษตรเป็นธุรกิจ ไม่ใช่แค่การปลูกพืช เลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการนำความรู้และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการผลิตและการตลาด เพื่อสร้างผลกำไรและความยั่งยืนให้กับธุรกิจการเกษตร

เทคนิคการเป็นเกษตรกรนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ 1. ต้องมีความจริงจัง ตั้งใจที่จะเป็นเกษตรกรที่ดี 2. ต้องวางแผนธุรกิจ: กำหนดเป้าหมาย วางแผนการผลิต วางแผนและเข้าใจความต้องการของตลาด และการจัดการด้านบัญชีและการเงิน 3. ต้องมีความรู้ เลือกพืชหรือสัตว์ที่เหมาะสม: เลือกพืชหรือสัตว์ที่ตลาดมีความต้องการ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม 4. สามารถใช้เทคโนโลยี: นำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต เช่น ระบบน้ำ หรือการดูแลรักษา การวัดความชื้น 5. สามารถสร้างแบรนด์: สร้างแบรนด์ให้กับผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคจดจำได้ 6. สร้างเครือข่าย: สร้างเครือข่ายกับเกษตรกรรายอื่นๆ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง 7. ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต: ติดตามข่าวสารและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ เกษตรในพื้นที่
1. คุณสวัสดิ์ เป็นเกษตรกรอีกหนึ่งท่านที่ใช้หลักการเกษตรผสมผสาน 2. คุณนิภา เป็นเกษตรกร มีหัวด้านการทำธุรกิจ ปลูกไม้เศรษฐกิจและเพาะกล้าไม้ ไม้ตัดใบ การทำโคกหนองนา ซึ่งรายได้หลักมาจากไม้ตัดใบ ซึ่งปลูกอยู่ในแปลงร่วมกัน 3. คุณเนตรนภา เกษตรกรรุ่นใหม่ ปลูกยาง เลี้ยงวัว ปลูกผักยกแคร่ กล้วยอ้อย ปุ๋ย ดิน เทคนิค ผู้ที่ได้รับการแนะนำจากคุณกัญญาภัคในเรื่องวิธีการปลูก และการตลาด