เครือข่ายสื่อสร้างสุข จ.นครศรีธรรมราช
1.เพื่อรำลึกและสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่กับการการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชน 2.สร้างความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติร่วมกับภาคีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
1.จัดนิทรรศการเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ
2.การแสดงมโนราห์c]tการแสดงอะคลูติค
3.พิธีการทางศสาสนา ทำบุญเลี้ยงพระ และสาธิตการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
4.การเปิดป้ายศูนย์เรียนรู้การเเตียมความพร้อมเพื่อรับมือภัยพิบัติ ตำบลชะอวด
5.เวทีสาธารณะ "บทเรียนน้ำท่วมใหญ่กับการจัดการภัยพิบัติ" มีผู้ร่วมเสวนา ดังนี้
- ปภ.จังหวัดนครศรีธรรมราช
- ชลประทาน
- นักวิชาการการจัดการภัยพิบัติ
- นายอำเภอชะอวด
- เครือข่ายการจัดการภัยพิบัติภาคใต้
- ตัวแทนชุมชน
- มูลนิธิชุมนไทย
- ปลัดอำเภอชะอวด
ดำเนินการโดยนายอานนท์ มีศรี
เสวนา 470 วัน มีความหมายกับคนชะอวดอย่างไร?
"ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ชาวบ้านมีการเตรียมตัวหรือตั้งรับอย่างไรบ้าง"
ปลัดฯจันทร์ฉาย วันที่ 28 ธันวาคม 2560 เหตุการณ์น้ำท่วมชะอวด การเตรียมตัวของหน่วยงานราชการ ขาดประสบการณ์ การอพยพเป็นเรื่องยากของชาวบ้าน ไม่เชื่อ คิดว่าคงท่วมไม่มาก ห่วงบ้าน ห่วงข้าวของ เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงๆสิ่งที่เราเห็นคือการพร้อมใจกันช่วยเหลือของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ระยะเวลาแค่ 4 ชม.น้ำขึ้นสูงสุดถือว่าเร็วมาก การที่ชาวบ้านชินกับฤดูน้ำหลาก ความเชื่อว่าอย่างไรก็ท่วมไม่มากหรือไม่ถึงชั้น 2 ของบ้านแน่นอน ทุกคนที่เข้ามาช่วยเหลือถือว่าเป็นผู้มีประสบการทั้งสิ้น วันที่น้ำลดระดับสิ่งที่ทำได้คือ การขอความช่วยเหลือข้างสาร อาหารแห้งให้กับพี่น้องผู้ที่ประสบภัย100% สิ่งที่อยากให้ตระหนักมากที่สุดคือ การแจ้งเตือนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขอให้ชาวบ้านช่วยกันเพื่อลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด ให้ชุมชนได้เรียนรู้เรื่องการประสบภัยให้ได้มากที่สุด
นายวัชระ เกตุชู ปัญหาอยู่ที่ความเสียหายที่มีมากกว่าปกติ ปี 60 น้ำมาแรงและเร็วการเตรียมตัวของชาวบ้านไม่ทัน ปกติน้ำใช้เวลาเดินทางมาจากห้วยน้ำใส มาจากตะวันออกไปตะวันตก ครั้งแรก5 ธ.ค.59 ครั้งที่ 2 วันที่ 6 ม.ค.60 ข้อดีคือมีเรืออยู่ในหมู่บ้านหลายลำ แต่ไม่สามารถติดต่อกับภายนอกได้ ต้องใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการติดต่อกับภายนอกในเรื่องของข้าวสารอาหารแห้งมาให้กับชาวบ้านในพื้นที่ การเตรียมความพร้อมของชาวบ้านพอมีอยู่บ้างแต่ไม่มากพอ
นายไมตรี จงไกรจักร วันนี้เรามีปภ.มาร่วมรับฟังและร่วมเสวนาด้วยจะได้มองไกลไปถึงความร่วมมือในภาคหน้า หน่วยงานจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับชาวบ้านหรือหน่วยงานเอกชนมากขึ้น ธรรมดาในพื้นที่ชะอวดน้ำท่วมเป็นเรื่องปกติคือ น้ำจะมาเรื่อยๆ ชาวบ้านมีวิถีในการดำรงชีวิตอยู่กับน้ำ แต่ครั้งที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่หนักสำหรับชาวบ้าน น้ำมาเร็วและแรงมาก เหมือนกับคำที่พูดว่า “น้ำเพ”และ“เลเพ” พื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมจะมีน้อยมากเรียกว่าท่วม 100% ก็ว่าได้ สิ่งที่เป็นปัญหากับบ้านเรามาช้านาน คือ ระบบกฎหมายของบ้านเรา คือ มีการจัดการเฉพาะวิกฤติเท่านั้น ไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า ชาวบ้านต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเอง หาทางช่วยเหลือกันเองก่อน ความเหมือนกับความต่างระหว่างชะอวดกับที่อื่นๆ ถือว่า ชะอวดล้มเหลวเกี่ยวกับระบบรัฐ มีการประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป การสื่อสารเรื่องระบบเตือนภัยล้มเหลว ประกอบกับชาวบ้านมีความเชื่อว่าไม่รุนแรง เกิดทุกปี ข้อมูลไม่สอดรับกับความจริง ชาวบ้านไม่เชื่อ หน่วยงานไม่เชื่อ 470 วันหลังจากเกิดภัยพิบัติ ทุกชุมชนมีการเตรียมพร้อมเรื่องการจัดการด้านภัยพิบัติ ประกาศตัวตนว่าเป็นชุมชนจัดการภัยพิบัติ รัฐเป็นตัวช่วยเสริมกำลังให้กับชุมชนเท่านั้น
"การจัดการตนเองเมื่อช่วยเหลือตนเองได้แล้วต้องหันกลับมาช่วยเพื่อนด้วย เราทำอย่างไร"
รต.สุภาพร ปราบราย เหตุการณ์ย้อนรอยกับบทบาทที่เข้ามาเป็นอาสาจัดการภัยพิบัติ แนวคิดถ้าพี่น้องในชุมชนไม่ลุกขึ้นมาจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ตนเองแล้วจะหวังให้ใครมาช่วยเหลือ ถ้าระบบรัฐกับชุมชนไม่ได้ร่วมมือหรือกอดกันในการแก้ปัญหาไม่มีวันที่ปัญหาจะสามารถแก้ได้ จึงคิดว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราต้องหันมาร่วมมือกันให้มากขึ้น ยอมรับกันให้มากขึ้น เพิ่มภาคีทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มากขึ้น
ดร.สมพร ช่วยอารี เทคโนโลยีไม่ว่าจะทันสมัยแค่ไหนก็ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง ถึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ น้ำเป็นเรื่องของธรรมชาติที่เคยประสบและต้องประสบต่อไปในอนาคตข้างหน้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือ การปรับตัว การปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้เข้ากับสถานการณ์ อยู่กับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ได้ อีกอย่างที่เราต้องปรับคือการใช้ประโยชน์ที่ดินของเราเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การจัดการภัยพิบัตินอกจากมีการจัดการเรื่องการวางแผน เรื่องแผนที่ ต้องมีการจัดการเรื่องอาหารไว้รองรับด้วย พลังงานที่เราต้องใช้ แผนที่ภัยพิบัติสิ่งที่เราต้องรู้ คือ รู้น้ำคือรู้ทางน้ำ รู้ลม คือรู้ทางลม ช่องลม รู้ไฟคือรู้ทางไฟ ชุมชนต้องชี้เป้าให้กับหน่วยงานได้รับรู้ด้วย ที่สำคัญข้อมูลต้องมีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เมื่อถึงภาวะที่เกิดภัยทำอย่างไรให้เราเป็นกู้ภัยในตัวเราเอง คือ ช่วยเหลือตนเองให้ได้ก่อน แล้วค่อยช่วยเหลือคนอื่น
ปภ. บทบาทของปภ.มีตั้งแต่ ก่อนเกิด ขณะเกิด หลังเกิด ที่ผ่านมาความเสียหายมักจะเกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่เราคาดไม่ถึง การร้องขอทรัพยากรต่างๆ ปภ.จังหวัดจะไม่มีความพร้อมในการปฏิบัติการในพื้นที่ เนื่องจากอุปกรณ์ ทรัพยากรมีน้อย ซึ่งทรัพยากรในการใช้ช่วยเหลือจะอยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ การสร้างกระบวนการให้ชุมชนสามารถจัดการตัวเองได้จึงเป็นจำเป็นที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน 1 ตำบล 1 ศูนย์ภัยพิบัติ ตอนนี้เราสามารถบอกได้ว่าในตำบลจะตั้งศูนย์ได้ที่ไหน หรือถ้าชุมชนมีศูนย์อยู่แล้วก็จะเข้ามาสนับสนุนให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น แนวคิดผู้ว่าฯประธานศูนย์สามารถเป็นใครก็ได้ที่ชาวบ้านให้ความเชื่อถือ
นายยรรยงค์ โกศลการ ชลประทาน กรมชลทำในเรื่องน้ำทุกระบบทุกภาคส่วน ข้อมูลผู้ใช้น้ำทุกภาคส่วน บทบาทหน้าที่บริหารจัดการน้ำ จัดหาแหล่งน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำ เป็นต้น มีการคาดการณ์สถานการณ์น้ำล่วงหน้า 3 เดือน และติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง มีกลุ่มผู้ใช้น้ำ กลุ่มผู้บริหารจัดการน้ำ แต่มีเฉพาะในเขตชลประทานเท่านั้น กรมชลฯยังมี ...
นายวิชัย สุวรรณโณ ผอ.พอช.ภาคใต้ แนวโน้มการจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นรูปธรรม สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน มีเป้าหมายส่งเสริมสนับนุนความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น โดยผ่านสภา หรือกองทุนสวัสดิการ ก่อนเกิดเหตุแบ่งเป็น3ส่วน พอช.มีภารกิจสนับสนุนเรื่องที่ชุมชนประสบ มีการแลกเปลี่ยน มีกลไกของชุมชน ขณะประสบเหตุ ช่วยเหลือตามเหตุการณ์ที่เกิด หลังประสบเหตุ ร่วมกับกลไกของชุมชน มีการทำแผนและแก้ปัญหาร่วมกัน เช่นเรื่องที่อยู่อาศัย สร้างกระบวนการให้เกิดการพูดคุยของชุมชนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาต่อไปจะอยู่ที่พื้นที่ยังไม่เคยประสวบเหตุจะไม่มีการเตรียมรับมือ เราต้องมีการเข้าไปช่วยกันสร้างกระบวนการในพื้นที่ ที่ผ่านมาปัญหาการจัดการภัยพิบัติ อยู่ที่ น้ำมากจริง หรือการจัดการไม่ดี ไม่รู้จะประสานใครหรือหน่วยงานไหน สิ่งที่ชาวบ้านพึ่งได้มากที่สุดจึงเป็นสื่อฯในพื้นที่หรือสื่อที่เข้ามาจากข้างนอก เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ทำให้ภัยพิบัติรุนแรงเพิ่มขึ้น คือ ผังเมือง เนื่องจากการวางผังเมืองไม่เป็นระบบ หรือมีการจัดการที่ไม่ดี เรื่องกฎหมาย ต้องเปิดช่องที่สามารถเอื้อให้มากที่สุด เรื่องของภาวะภัยพิบัติเป็นเรื่องที่แก้ที่ปลายทาง สภาวะอากาศที่เปลี่ยนไป การแก้ไขปัญหาต้องช่วยกันรักษาสมดุลทางธรรมชาติให้คงอยู่มากที่สุด
"การก่อตัวกับพื้นที่กลาง เริ่มต้นอย่างไร"
นายวัชระ เกตุชู มีวงพูดคุยในระดับหมู่บ้าน มีกองทุนหลายๆกองทุนเกิดขึ้น เพื่อรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน ให้ความรู้ด้านต่างๆ เช่น กฏหมายกพ. การบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร การทำงานร่วมกันเพื่อลดภาวะภัยพิบัติ
นายไมตรี จงไกรจักร การทำงานเสริมกับชุมชนพร้อมรับมือภัยพิบัติ ถ้านครทำเรื่องนี้ให้เกิดจริงๆ โดยให้ปภ.ตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้น1ชุดที่มาจากทุกภาคส่วน รวมถึงต้องมีสภาองค์กรชุมชนด้วย มีประกาศจังหวัด เช่นระบุว่าทุกปีจะต้องมีการซ้อมแผนภัยพิบัติปีละ1 ครั้ง พอช.ต้องมีหน้าที่ส่งเสริมเรื่องการจัดการภัยพิบัติด้วย ปภ.มีหน้าที่ส่งเสริมชุมชนอย่างชัดเจน
ดร.สมพร ช่วยอารี มองว่ากฎของธรรมชาติเป็นวัฏจักรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเรื่องที่กลมกลืน เราทำอย่างไรให้กระบวนการบริหารจัดการเป็นไปอย่างกลมกลืน การจัดการภัยพิบัติระดับครัวเรือน ครัวเรือนจัดการได้ทุกอย่างจัดการได้ ครัวเรือน 5 โรง ไฟฟ้า ประปา แก๊สชีวภาพ อาหาร โรงเรียน เป็นหน่วยการเรียนรู้ครัวเรือน เปลี่ยนจากศูนย์ให้เป็นหนึ่ง แต่ถ้าจะเป็น 4.0 ต้องรู้ล่วงหน้า รู้เท่าทัน ช่วยเหลือตนเองได้ ช่วยเหลือคนอื่นได้ เพราะในอนาคตเราต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างยาวนาน เพราะฉะนั้น พร้อมหรือเปล่า? พ=พาหนะ ร=ยานพาหนะทางน้ำ อ=โอ่ง ม=ยานพาหนะทางบก
นายวิชัย สุวรรณโณ ผอ.พอช. ภาคใต้ การจัดการภัยพิบัติที่ควรจะเป็น คือให้ชุมชนลุกขึ้นมาจัดการด้วยตนเอง ต้องที่ครัวเรือน สภาองค์กรชุมชน ซึ่งเป็นที่รวมของกลุ่มองค์กรในชุมชน นั่นหมายถึง ศักยภาพของคนในชุมชนได้มารวมอยู่ในที่เดี่ยวกัน ความเป็นจริงในตำบล 3 กับ 3 รวมตัวกัน คือ ชุมชน(สภาองค์กรฯ) ท้องถิ่น ท้องที่ โอกาสที่จะทำศูนย์ให้เต็มทังล้อจังหวัด 2. ติดที่นโยบาย ระบบ โครงสร้างที่ยังไม่เอื้อ ไม่เปิดโอกาส เราต้องทำทั้ง3 ระดับ และต่อเนื่อง ล่าง บน นโยบายรัฐเป็นถ้าทำแล้วกระทบในพื้นที่ในหลายๆเรื่อง วิถี สภาแวดล้อม ก็ต้องมีการทบทวน
นายมานะ ยะสะนพ ตัวแทนตำบลบ้านตูล 1.การจัดการภัยพิบัติของพื้นที่ ถือว่าเป็นศูนย์รวมน้ำใจ ที่คนในพื้นที่ หน่วยงาน ได้มารวมตัวกัน ธารน้ำใจต้องหลั่งไหลได้ทุกเวลาไม่ใช่เฉพาะยามวิกฤติเท่านั้น ที่ยกระดับจากการจัดการภัยพิบัติเฉพาะอย่างมาเป็น
รต.สุภาพร ปราบราย นครศรีธรรมราชจะมีการจัดทำแผนพัฒนาทั้งจังหวัดในปี 61 คาดหวัง 50 ตำบลมีแผนที่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีข้อเสนอเชิงนโยบาย 42 ตำบล 1ตำบล1 ศูนย์เตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติเกิดทุกอำเภอ
"การหนุนเสริมให้เกิดความเป็นจริงทำได้อย่างไร"
ปภ. ในแนวราบจะประสานทุกเครือข่าย ข้อมูล ขาดแต่เรื่องคำสั่ง นำไปสู่การปฏิบัติ เราจะทำทุกเรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณะภัย ประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านการให้ความร่วมมือ
ชลประทาน จะกลับไปศึกษาเรื่องสภาองค์กรชุมชนเพิ่มเติมซึ่งถือว่าจะเป็นประโยชน์และเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งได้ในอนาคต ค้นหาผู้นำที่เป็นผู้นำจริงๆ
สรุปภาพรวม โดย ดร.ดำรงค์ โยธารักษ์
มี 2 กระบวนทัศน์ ที่ใช้มอง 1)วิธีคิดแบบเอาชนะธรรมชาติ นำไปสู่การจัดการแบบรวมศูนย์ การจัดการน้ำให้สอดคล้องกับอาชีพที่หน่วยงานรัฐกำหนด 2)วิธีคิดแบบอยู่กับธรรมชาติ เป็นการกระจาย จัดการอาชีพให้สอดคล้องกับระบบและธรรมชาติ 3จัดการอาชีพให้สอดคล้องกับธรรมชาติ
ภาคปฏิบัติ เสนอให้การการปฏิบัติการยังไม่มีภาพฝันร่วมกัน การนำเสนอต้องฉายภาพให้เห็นทั้ง 2 ด้านคือ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง ปัญหาที่เกิดน้ำท่วมหนักเกิดจากอะไร วิธีการทางความคิดไปสู่ฝันมีกระบวนการอย่างไร ต่อจากนี้เราจะใช้กระบวนการเวทีประชาเข้าใจเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาที่ถูกที่ถูกทาง อันประกอบด้วย
1. ความสุข
2. คิด เขียน พูด
3. ถ้ามีหลายแนวทางแต่ห้ามโหวต
4. ทุกคนสามารถเขียนโครงการได้
บรรลุผลตามเป้าหมาย (3)
ประกอบด้วย
1.สภาองค์กรชุมชนตำบลชะอวด 2.เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบล อำเภอชะอวด 3.สมาคมสื่อชุมชนภาคใต้ นครศรีธรรมราช 4.เครือข่ายสื่อสร้างสุขภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช 5.สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) 6.มูลนิธิชุมชนไท 7.สมาคมดับบ้านดับเมือง
ไม่มี
ไม่มี
ไม่มี