โครงการ การสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้สูงอายุในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ปี 2

โครงการ การสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้สูงอายุในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ปี 2

ข้อมูลโครงการ

ชื่อนวัตกรรม โครงการ การสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้สูงอายุในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ปี 2
สถาบันอุดมศึกษาหลัก มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
หน่วยงานหลัก สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา ม.ทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
หน่วยงานร่วม -โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านตลิ่งชัน อ.ป่าพะยอม -เทศบาลตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม -สำนักงานสาธารณสุขอำเภอป่าพะยอม
ชื่อชุมชน - หมู่ที่ 1 บ้านพร้าว ตำบลบ้านพร้าว บริเวณตลาดป่าพะยอม - หมู่ที่ 2 บ้านตลิ่งชัน ตำบลบ้าวพร้าว บริเวณทิศตะวันออกและทิศใต้ ของ ม.ทักษิณ พัทลุง - หมู่ที่ 3 บ้านศาลาน้ำ ตำบลบ้าวพร้าว บริเวณทิศตะวันตกของ ม.ทักษิณ พัทลุง - หมู่ที่ 8 บ้านหน้าป่า ตำบลบ้านพร้าว บริเวณทิศใต้และทิศตะวันตก ของ ม.ทักษิณ พัทลุง - หมู่ที่ 9 บ้านไผ่รอบ ตำบลบ้านพร้าว บริเวณทิศเหนือของ ม.ทักษิณ พัทลุง
ชื่อผู้รับผิดชอบ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติยศ วรเดช
ที่อยู่ผู้รับผิดชอบ สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา ม.ทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
ชื่อผู้ร่วมโครงการ/สาขา - รศ.ดร.ปุญญพัฒน์ ไชยเมล์ สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา
การติดต่อ 074-693997
ปี พ.ศ. 2562
ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ตุลาคม 2560 - 30 กันยายน 2562
งบประมาณ 130,000.00 บาท

พื้นที่ดำเนินงาน

จังหวัดอำเภอตำบลชื่องานในพื้นที่ลักษณะพื้นที่
พัทลุง ป่าพะยอม บ้านพร้าว ชนบท place directions

รายละเอียดชุมชน

ข้อมูลพื้นฐาน
ข้อมูลศักยภาพ/ทรัพยากร
ข้อมูลประเด็นปัญหา
การเข้าสู่สังคมสูงอายุ และการดูแลสุขภาพ
ข้อมูลความต้องการเชิงพื้นที่
การสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้สูงอายุในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน

ประเด็นปัญหาหลัก

ประเด็นที่เกี่ยวข้อง

องค์ความรู้หรือนวัตกรรมที่ใช้ในการดำเนินโครงงาน

การวางแผนแก้ปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน

ประเภทนวัตกรรม

นวัตกรรมชุมชน , นวัตกรรมเกษตร , นวัตกรรมแก้จน , นวัตกรรมสังคม

รายละเอียดนวัตกรรม/หลักการและเหตุผล

ประเทศไทยมีจำนวนประชากรรวดเร็วมากโดยเป็นผลจากนโยบายการเพิ่มประชากรก่อนปี พ.ศ.2500 จากที่มีประชากรเพียง 20 ล้านคนในปี พ.ศ. 2493 เพิ่มขึ้นเป็น 67.4 ล้านในปี 2555 (สำนักงานประชากรขององค์การสหประชาชาติ, 2555) ผลกระทบจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วดังกล่าวทำให้ประเทศไทยมีการประกาศนโยบายประชากรอย่างเป็นทางการและบรรจุนโยบายการลดอัตราเพิ่มประชากรไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515-2519) เป็นครั้งแรก และมีการดำเนินงานตามนโยบายลดอัตราเพิ่มประชากรดังกล่าวในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับต่อๆ มา จนถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535-2539) ซึ่งทำให้อัตราเจริญพันธุ์รวมยอดหรือจำนวนการมีบุตรเฉลี่ยของผู้หญิงลดลงจาก 6.3 คนในช่วงปี พ.ศ.2507-2508 เหลือแค่ 1.83 คนในช่วงปี พ.ศ.2543-2548 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าระดับทดแทนซึ่งกำหนดไว้ที่ 2.1 คน (Replacement Level) จึงทำให้สิ้นสุดนโยบายลดการเพิ่มประชากร อย่างไรก็ตามภายหลังสิ้นสุดนโยบายเพิ่มประชากรแล้ว ผู้หญิงไทยก็ยังคงมีจำนวนบุตรเฉลี่ยน้อยลงอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์ รายงานว่าในปี 2553 ผู้หญิงไทยมีจำนวนบุตรเฉลี่ยเหลือแค่ 1.62 ในขณะที่สหประชาชาติคาดประมาณการจำนวนบุตรเฉลี่ยของหญิงไทยอยู่ที่ 1.4 เท่านั้น จากผลของนโยบายลดอัตราการเพิ่มประชากรดังกล่าวทำให้ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่จะมีอัตราการเติบโตของประชากรติดลบ โดยสำนักงานประชากรแห่งสหประชาชาติระบุว่า ประเทศไทยจะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นไปอีกระยะหนึ่ง และจะมีจำนวนประชากรสูงสุดจำนวน 67.9 ล้านคน ในปี พ.ศ.2568 และจำนวนประชากรจะค่อยๆ ลดลง เหลือประมาณ 40 ล้านคนในปี พ.ศ.2643 หรืออีกประมาณ 80 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการลดลงของจำนวนประชากรในอนาคตนั้นอาจจะยังมีเวลาตั้งรับและปรับนโยบายเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญแล้วและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปก็คือ ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้ว โดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุจำนวนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ในปี พ.ศ.2513 มีจำนวน 1.7 ล้านคน (ร้อยละ 4.9) เพิ่มขึ้นเป็น 8.4 ล้านคน (ร้อยละ 13.2) ในปี 2553 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 20.5 ล้านคน (ร้อยละ 32.1) ในอีก 30 ปีข้างหน้า หรือ พ.ศ.2583 และข้อมูลจากสหประชาชาติพบว่า ในกลุ่มประเทศอาเซียน ประเทศไทยมีร้อยละของประชากรที่เป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีสูงเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ และอัตราการเติบโตของประชากรสูงวัยของไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 2 เท่าในอีก 15 ปีข้างหน้า ซึ่งผลกระทบจากการมีสัดส่วนผู้สูงอายุจำนวนมาก จะทำให้มีภาระพึ่งพิงทางเศรษฐกิจสูง ประชากรวัยแรงงานจะมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการบริโภค ครัวเรือนมีภาระหนี้สินสูง มีการออมต่ำไม่พียงพอต่อการใช้จ่ายในยามเกษียณ ภาครัฐจึงต้องนำเงินงบประมาณมาจัดสวัสดิการสังคมให้กับประชากร จนอาจลุกลามเป็นหนี้สินของประเทศส่งผลทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและตกต่ำได้
จากข้อมูลการเปลี่ยนแปลงประชากรอย่างรวดเร็วดังกล่าว ประทศไทยได้จัดทำแผนประชากร (2555 – 2559) โดยกำหนดวิสัยทัศน์คือ “ประชากรไทยทุกคนเกิดมามีคุณภาพ ได้รับการพัฒนาทุกช่วงวัยให้สามารถเป็นพลังในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของประเทศ มีหลักประกันที่มั่นคงพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุที่มีการจัดสวัสดิการอย่างยั่งยืนโดยครอบครัวและชุมชนมีส่วนร่วม” และกำหนดยุทธศาสตร์หลัก 3 ข้อ คือ 1) ยุทธศาสตร์การส่งเสริมให้ประชากรไทยทุกคนเกิดมามีคุณภาพ พร้อมที่จะพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อเติบโตขึ้น 2) ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพประชากรไทยทุกช่วงวัย เพื่อเป็นพลังต่อการเจริญเติบโตของประเทศ และยุทธศาสตร์ข้อที่ 3 คือ ยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมประชากรไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุที่มีสวัสดิการทางสังคมอย่างยั่งยืน และในปัจจุบันก็กำลังจัดทำแผนประชากรในการพัฒนาประเทศระยะยาว 20 ปี (พ.ศ.2559 – 2579) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ด้านประชากรของประเทศไทย
นอกจากนี้จากวิสัยทัศน์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 คือ “ประชากรไทยทุกคนเกิดมามีคุณภาพ ได้รับการพัฒนาทุกช่วงวัยให้สามารถเป็นพลังในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของประเทศ มีหลักประกันที่มั่นคงพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุที่มีการจัดสวัสดิการอย่างยั่งยืนโดยครอบครัวและชุมชนมีส่วนร่วม” และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (2560-2564) ซึ่งเป็นแผนที่สอดคล้องสอดรับอยู่บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ซึ่งเป็นแผนแม่บทหลักของการพัฒนาประเทศ และร่วมทั้งยังยึดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ด้วย ซึ่งในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุโดยครอบครัวและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมไว้หลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้สูงอายุวัยต้นมีงานทำและมีรายได้ที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่อาศัยในบ้านที่มสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และสถาบันทางสังคมมีความเข้มแข็งและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ จะเห็นได้ว่า ประกอบกับยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทักษิณข้อที่ 4 การจัดการบริการวิชาการร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ขับเคลื่อนการพัฒนา เศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต ความมั่นคง และการพัฒนาในภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของคณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬาข้อที่ 4 บริการวิชาการเพื่อแก้ปัญหาสุขภาวะและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และนอกจากนี้ ในปี2561 สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ได้จัดทำโครงการ การสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้สูงอายุในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยใช้กระบวนการพัฒนาสุขภาพชุมชน ซึ่งอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอน จนสามารถก่อตั้งชมรมผู้สูงอายุ และมีคณะกรรมการชมรมผู้สูงอายุ มีการจัดทำข้อบังคับของชมรมฯ และเริ่มเปิดรับสมัครสมาชิกเข้าชมรมผู้สูงอายุ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ม.ทักษิณ อสม. ผู้ใหญ่บ้าน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านตลิ่งชัน ตำบลบ้านพร้าม เทศบาลตำบลบ้านพร้าว สำนักงานสาธารณสุขอำเภอป่าพะยอม และรวมทั้งนิสิตชมรมรากแก้ว ม.ทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ซึ่งได้รับการก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเข้ามาร่วมสานต่อในการพัฒนาสุขภาพของผู้สูงอายุรอบๆ มหาวิทยาลัยทักษิณโดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน ดังนั้นในปี 2562 สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ จึงได้จัดทำโครงการบริการวิชาการเรื่อง การสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้สูงอายุในชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ปีที่ 2 ขึ้น โดยใช้กระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และกระบวนการพัฒนาสุขภาพชุมชนซึ่งเป็นทางเลือกที่ดี เพราะเป็นกลวิธีที่ให้ชุมชนเป็นผู้ระบุปัญหา หาสาเหตุและเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมของชุมชนเอง และนอกจากนี้เป็นการพัฒนาประชาชนในชุมชนให้เรียนรู้และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในระยะยาวด้วย โดยจัดทำโครงการในพื้นที่หมู่ที่ 1 2 3 8 และ 9 ตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม ซึ่งเป็นหมู่บ้านซึ่งมีที่ตั้งติดกับมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ทั้ง 4 ด้าน และที่ผ่านมาภาระการดูแลผู้สูงอายุเป็นบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเป็นภาระที่ค่อนข้างหนักและส่งผลกระทบในระยะยาวต่อครอบครัวและชุมชนด้วย ดังนั้นในฐานะที่มาหวิทยาลัยทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนดังกล่าวจึงควรเข้ามามีบทบาทในการร่วมกันดูแลผู้สูงอายุในชุมชนด้วย

คำสำคัญเพื่อการค้นหา

  • การวางแผนแก้ปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน

ภาพถ่าย

วีดิโอ

ไฟล์เอกสาร

โครงการขยายผล

นำเข้าสู่ระบบโดย มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยทักษิณ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 16:17 น.